ความทุกข์ใจของเรา เริ่มจากสมอง
“ความทุกข์ใจ” คือความเหนื่อยล้าจากการคิดวกวนในแต่ละวันเราต้องพบเจอกับเรื่องทุกข์ใจสารพัดและต่างปรารถนาที่จะหลุดพันจากความทุกข์ ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสนุกสนานด้วยกันทั้งสิ้นผมคิดว่า “ความทุกข์ใจ” เกิดจากปัญหาที่เราแก้ไขไม่ได้และคอยวนเวียนอยู่ในหัว ทำให้ไม่เป็นอันทำอะไรเพราะรู้สึกไม่สบายใจอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าใครก็มีความรู้สึกแย่ๆกันได้ ถ้าตัดความรู้สึกทิ้งได้ “ความทุกข์ใจ” ก็คงไม่เกิดขึ้น ผมเรียกภาวะที่เราติดแหง็กอยู่กับเรื่องที่คิดเท่าไรก็คิดไม่ตกเพราะสมองมัวหมกมุ่นกับมันจนเหนื่อยล้าว่า “ความทุกข์ใจ”ความทุกข์ใจไม่ได้เกิดจากลักษณะนิสัยหรือวิธีคิด แต่เกิดจากสมอง และสมองของเราปรับเปลี่ยนได้ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากสมองของผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ก็คือ หากเรารู้จักสมองของตัวเอง เราก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ใจ
บทความให้ความรู้โดย สล็อตออนไลน์
เห็นสมองก็เห็นทางออก ผมเล่าไปแล้วว่าก่อนหน้านี้ผมเคยคุยกับคนหลากหลายวัยมากกว่า 10,000 คน และวินิจฉัยภาพสมองที่ถ่ายด้วยเครื่องMR! รวมทั้งได้เสนอวิธีคลายความทุกข์ใจและการบริหารสมองให้คนเหล่านั้นเครื่อง MR คือเครื่องตรวจร่างกายที่ใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้า
ความเข้มขันสูง เมื่อเอาศีรษะผ่านเข้าไปในเครื่องซึ่งมีลักษณะคล้ายโดนัตประมาณ 30 นาที เครื่องจะถ่ายภาพสมองตามแนวตัดขวางได้ การสังเกตภาพถ่ายทำให้ทราบว่าสมองส่วนใดของคนไข้เจริญเติบโตอย่างแข็งแรง ส่วนใดที่อ่อนแอเพราะไม่ค่อยใช้งานและพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ภาพถ่ายสมองจึงใช้วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียหรือลักษณะนิสัยของคนไข้ว่าเป็นอย่างไรได้ในระดับหนึ่งการที่เราวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของสมองคนที่มีสุขภาพแข็งแรงแล้วช่วยสนับสนุนการเจริญเติบโตของสมองได้นั้นไม่ได้มีจุดประสงค์ง่ายๆ เพียงเพื่อป้องกันความเจ็บปวยหรือรักษาโรค
เท่านั้น แต่ยังเพื่อชี้ให้เห็นว่องค์ความรู้ของประสาทวิทยากำลังก้าวสู่ยุคสมัยที่เราดูแลสมองของตนเองได้ และสร้างทักษะใหม่ๆให้ตนเองได้อย่างอิสระ
ลักษณะนิสัยเป็นสิ่งที่สมองสร้างขึ้น
คนจำนวนมากมีอุปนิสัยที่ไม่ดีอย่างเช่น ขี้กังวล ขี้หงุดหงิดหรือท้อแท้อยู่เสมอ ส่งผลให้ไม่ได้มือทำเรื่องที่ควรทำสักทีตอนที่คนเราอยู่ในภาวะที่ “ทำอะไรไม่ถูก” ความรู้สึกจะเปลี่ยนไปเป็นความทุกข์ใจความทุกข์ใจของเราแตกต่งกันไปตามสถานการณ์ที่กำลังเผชิญและลักษณะนิสัยของเรา เช่น คนที่มีนิสัย “ขี้หงุดหงิดแม้แต่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ” ถึงจะคิดว่า “จริงๆ เรื่องนี้ไม่ควรหงุดหงิดเลย” หรือ “การหงุดหงิดเป็นสิ่งไม่ดี” แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้ สุดท้ายจึงเริ่มคิดว่า “ทำไมฉันถึงใจร้อนอย่างนี้นะ ทำไมต้องอารมณ์เสีย
กับเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย”ปัญหาเช่น “ชื่อคนง่ย” “อยู่ในช่วงลดน้ำหนักแต่ก็อดกินขนมหวานไม่ได้” หรือ “อ่านสถานการณ์ไม่ออก” ก็เป็นกรณีคล้ายกัน แม้เราจะรู้ตามหลักเหตุผลว่า “ที่จริงแล้วควรทำแบบนี้” หรือคิดว่า “อยากทำแบบนี้” แต่บางครั้งเรากลับควบคุมตัวเองไม่ได้และทำสิ่งที่ตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น แล้วในที่สุดก็มากลุ้มใจว่า
“ไม่เข้าใจตัวเองเลย ทำแบบนั้นไปได้ยังไงเนี่ย”
“ทำไมถึงคิดวนเวียนแต่เรื่องเดิมๆ นะ”
“ไม่เข้าใจ ทำไมถึงควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้”
สุดท้ายก็กลายเป็นทำอะไรไม่ถูก วิธีกำจัดความรู้สึกเช่นนี้
ก็คือการสังเกตสมองและทำความเข้าใจตัวเอง เพียงเท่านี้จากที่”ไม่เข้าใจ” สิ่งที่ตัวเองทำก็จะเปลี่ยนเป็น “เข้าใจ” ได้ไม่ยาก
ทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงจากภาพถ่ายสมองเหตุผลส่วนใหญ่ที่เราทุกข์ใจเป็นเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่เคยใส่ใจการเจริญเติบโตของสมองเลย ดังนั้น แม้จะบอกว่า “ถ้าปรับวิธีใช้สมอง พัฒนาการของสมองก็จะเปลี่ยนไป แล้วความทุกข์ใจก็จะหายไปเอง” ผู้อ่านก็คงนึกภาพไม่ออกผมขอยกตัวอย่างข้อเท็จจริงที่เห็นภาพได้นะครับ ลองดูภาพที่ 1 และภาพที่ 2ในหน้า 20 ซึ่งเป็นภาพถ่ายสมองของท่านประธานบริษัทขนาดกลางแห่งหนึ่งที่ถ่ายด้วยเครื่อง MRI ภาพทางซ้ายถ่ายหลังภาพทางขวา 1 ปี 5 เดือนเดิมทีท่านประธานบริษัทคนนี้เป็นผู้เข้าร่วมสัมมนาเรื่องการบริหารธุรกิจของผมมาก่อน เขาบอกว่าอยากได้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารบริษัทผ่านมุมมองของนักประสาทวิทยาจึงเข้ามารับการวินิจฉัยภาพถ่ายสมองพร้อมกับภรรยาภาพทางขวาทั้งภาพที่ 1 และภาพที่ 2 คือภาพที่ถ่ายได้ตอนนั้น ความทุกข์ใจที่พบในขณะนั้นคือ “การไม่กล้าตัดสินใจ”ผ่านไประยะหนึ่งท่านประธานก็ประสบปัญหาใหญ่ เขาถูกจับในฐานะผู้ต้องสงสัยคดีอาญาเกี่ยวกับงานที่ทำ หลังถูกควบคุมตัวเป็นเวลา 20 วันก็ได้รับการปล่อยตัวเพราะพ้นผิด แต่เหตุการณ์
ครั้งนั้นทำให้เขาไม่เชื่อใจใครอีก ไม่อยากพบผู้คน เก็บตัวอยู่ในบ้านตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งยังสูญเสียชื่อเสียงเขาเลิกติดต่อกับพนักงานบริษัทส่วนหนึ่งที่เคยเชื่อใจหลังได้รับการดูแลเอาใจใส่จากภรรยาและการสนับสนุนจากเหล่าพนักงาน เขาก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติและเดินทางมาหาผมแล้วบอกว่า “อยากเห็นสภาพสมองของตัวเองในตอนนี้”ในภาพถ่ายสมอง ส่วนที่เป็นสีดำรูปร่างเหมือนกิ่งไม้ก็คือส่วนที่มีการใช้งาน ส่วนสีขาวคือส่วนที่ไม่ได้ใช้งานเมื่อเปรียบเทียบภาพทั้ง 2 ฝั่งจะพบว่า ส่วนที่เป็นสีดำในสมองช่วงก่อนและหลังถูกจับกุมตัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนซึ่งผมจะอธิบายรายละเอียดในภายหลัง จากการพูดคุยกับท่านประธานเกี่ยวกับภาพถ่ายสมอง ในช่วงก่อนถูกจับกุมนั้นไม่เห็นแม้
แต่เศษเสี้ยวของความทุกข์ใจที่แสดงว่าไม่อยากพบเจอใครเลยสรุปคือ สมองของเราจะปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่พบเจอ และในเวลาเดียวกันความทุกข์ใจก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย
ครั้งนั้นทำให้เขาไม่เชื่อใจใครอีก ไม่อยากพบผู้คน เก็บตัวอยู่ในบ้านตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งยังสูญเสียชื่อเสียงเขาเลิกติดต่อกับพนักงานบริษัทส่วนหนึ่งที่เคยเชื่อใจหลังได้รับการดูแลเอาใจใส่จากภรรยาและการสนับสนุนจากเหล่าพนักงาน เขาก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติและเดินทางมาหาผมแล้วบอกว่า “อยากเห็นสภาพสมองของตัวเองในตอนนี้”ในภาพถ่ายสมอง ส่วนที่เป็นสีดำรูปร่างเหมือนกิ่งไม้ก็คือส่วนที่มีการใช้งาน ส่วนสีขาวคือส่วนที่ไม่ได้ใช้งานเมื่อเปรียบเทียบภาพทั้ง 2 ฝั่งจะพบว่า ส่วนที่เป็นสีดำในสมองช่วงก่อนและหลังถูกจับกุมตัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนซึ่งผมจะอธิบายรายละเอียดในภายหลัง จากการพูดคุยกับท่านประธานเกี่ยวกับภาพถ่ายสมอง ในช่วงก่อนถูกจับกุมนั้นไม่เห็นแม้แต่เศษเสี้ยวของความทุกข์ใจที่แสดงว่าไม่อยากพบเจอใครเลยสรุปคือ สมองของเราจะปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่พบเจอ และในเวลาเดียวกันความทุกข์ใจก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย
รู้จักสมองและวิธีคลายความทุกข์ใจ
เมื่อรู้สึกทุกข์ใจก่อนอื่นต้องคำนึงถึง “สมอง” ต้องทำความเข้าใจสมองที่เป็นตัวสร้างความทุกข์ใจนั้น
การดูภาพถ่ายสมองจากเครื่อง MRI ของท่านประธานจะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นสมองของเราจะเปลี่ยนไปเมื่อมีประสบการณ์ใหม่ๆ เข้ามา
ถ้าสังเกตสมองดูก็จะเข้าใจแจ่มชัดว่าสมองได้รับผลกระทบจากประสบการณ์ที่มีความรุนแรงอย่างไร และยังทำให้ทราบอีกด้วย
ว่าส่วนของสมองที่ไม่ได้พัฒนาเนื่องจากความทุกข์ใจมีสภาพต่างไปจากก่อนหน้าด้วยเหตุนี้ จึงป็นเรื่องยากที่จะนำวิธีการตั้งเดิมอย่างหลัก
จิตวิทยามาใช้แก้ปัญหาสมองที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ถ้าสมองที่เปลี่ยนไปสร้างความทุกข์ใจขึ้นมา ก็ต้องปรับสมองอีกครั้งเพื่อกำจัดความทุกข์ใจแต่กรณีที่ “ความทุกข์ใจไม่หายไปง่ายๆ แม้ได้ปรับสมองแล้ว” ก็มีอยู่เช่นกันเช่น คนที่ทุกข์ใจเพราะ “เงินไม่พอใช้จนลำบาก” แม้บริหารสมองแล้วก็ไม่ช่วยให้มีเงินขึ้นมา ซึ่งในกรณีนี้เรายังพอมีทางปรับสมองให้เลิกใช้เงินฟุ้มเฟือยได้หรือทุกข์ใจที่ “ตัดใจจากแฟนเก่าไม่ได้ อยากกลับไปรักกันเหมือนเดิม” ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่าถึงจะฝึกสมองได้แต่ ก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนรักเก่ากลับคืนมาไม่ได้ อย่างไร
ก็ตาม หากเราฝึกสมองได้สำเร็จก็จะมีวิธีรับมือกับความทุกข์ใจและมุมมองที่มีต่อคนรักเก่าย่อมเปลี่ยนไป เพราะการทำงานของสมอง
ได้เปลี่ยนไปแล้วนั่นเองคนที่มีเรื่องทุกข์ใจจนทำงานทำการไม่ได้ หากใช้ชีวิตโดยใช้สมองส่วนที่ใช้งานได้ดี ก็จะทำให้ระยะเวลาที่รู้สึกทุกข์ใจลดลงและหันไปสนใจเรื่องอื่นๆได้เร็วแต่ในความเป็นจริง พอมีเรื่องทุกข์ใจเรามักใส่อารมณ์และความรู้สึกลงไปมาก ทำให้ต้องวิ่งไปหานักจิตวิทยาซึ่งศึกษาเรื่องของจิตใจ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบนี้ทำให้ไม่พบทางออกของความทุกข์ ซ้ำร้ายกลับทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิม
เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้หลักจิตวิทยาแล้ว การทำความรู้จักสมองของตัวเองผ่านภาพถ่ายสมองจะทำให้แยกแยะจุดอ่อนจุดแข็ง และรู้วิธีนำจุดแข็งมาปรับใช้แก้ไขปัญหาของตัวเองได้ ในขณะเดียวกันก็ปรับเปลี่ยนจุดที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ซึ่งเป็นบ่อเกิดความทุกข์ใจได้ง่าย”personal brain science” ทำให้รู้ความแตกต่างของการเจริญเติบโตของสมองคนส่วนใหญ่ที่รู้สึกเป็นทุกข์เพราะควบคุมจิตใจไม่ได้มักคิดว่าเป็นเพราะนิสัยของตัวเอง และเข้าใจไปว่า “ที่ฉันหงุดหงิด
กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เป็นเพราะฉันนิสัยไม่ดีเอง” “ที่ลดน้ำหนักไม่สำเร็จเป็นเพราะยังมุ่งมั่นไม่พอ” หรือ “นิสัยแบบนี้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด จะแก้ตอนนี้ก็สายเกินไป”ผู้คนจึงพยายามศึกษาจิตวิทยาเพื่อวิเคราะห์ตนเองโดยหวังว่าจะเปลี่ยนนิสัยและความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้ แต่วิธีนี้
กลับไม่ทำให้หายทุกข์ใจได้จริงๆ”personal brain science” คือการศึกษาความแตกต่างของการเจริญเติบโตของสมองในแต่ละบุคคลซึ่งผมเป็นคนริเริ่มเกิดจากการที่ผมลาขาดจากวิธีทางจิตวิทยานั่นเอง จิตวิทยาหรือวิธีการคิดที่นำจิดใจอันจับต้องไม่ได้มาใช้อธิบายสาเหตุเป็นสิ่งที่
คนไข้ส่วนใหญ่ทำตามไม่ได้จิตใจเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แม้จะใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจเข้าใจได้ถ่องแท้ ดังนั้น การพยายามควบคุมจิตใจซึ่งเป็นนามธรรมจึงเป็นเรื่องผิดตั้งแต่แรกจิตวิทยาเป็นเหมือนทฤษฎีของจิตใจ แล้วถ้าความทุกข์ใจของคนส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามทฤษฎี ก็แสดงว่าการรับมือด้วยหลักจิตวิทยาเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุดทุกคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง ระดับการเปลี่ยนแปลงของสมองก็ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตของแต่ละคน ที่สำคัญคือสมองของเรามีเพียงหนึ่งเดียวในโลก การนำหลักจิตวิทยาทั่วไปมาใช้จึงไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด
อ่านบทความแนะนำ :
- ฟรีแลนซ์ยุคใหม่ดูแลสุขภาพและมีเงินออมด้วย scb ประกันออมทรัพย์ อุ่นใจ ออมสั้นทันใจ 15/5
- แนะนำ ประกันห่วงใยคุ้มครองมะเร็ง scb ประกันโรคร้ายแรงตอบโจทย์สำหรับผู้มีความเสี่ยง
- เปิดจุดเด่น สินเชื่อบ้าน SCB ที่โดนใจคนอยากซื้อบ้าน
- ทำประกันรถยนต์กับ scb ทางเลือกคุ้มค่าสำหรับคนมีรถ
- รู้หรือไม่ ? วันไหนที่เหมาะกับการแลกเงินไปเที่ยวต่างประเทศและซื้อกองทุนมากที่สุด
Hits: 23
5 จุดมุดน้ำยอดนิยม ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เมืองร้อยเกาะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นอกเหนือจากการที่จะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองร้อยเกาะ ที่เต็มไปด้วยสถานที่เที่ยวทางทะเลที่สวยแล้วก็น่าดึงดูดแล้ว ก็ยังขึ้นชื่อว่ามีจุดมุดน้ำที่สวยที่สุด จนถึงผู้ใดก็ต้องการจะแวะท่องเที่ยวดู โดยในเนื้อหานี้ก็ได้สะสม 5 จุดมุดน้ำยอดนิยมในจังหวัดสุราษฎร์มาเสนอแนะกัน ซึ่งจะมีที่ใดบ้าง และก็มีความน่าดึงดูดใจแค่ไหน สามารถไปดูเนื้อหาได้ดังนี้ บทความโดย บาคาร่า 1. เกาะนางยวน จุดมุดน้ำดูต้นปะการัง ที่เหมาะสมกับผู้ที่พึ่งฝึกฝนมุดน้ำใหม่ๆเป็นที่สุด ด้วยเหตุว่าตรงนี้ไม่ค่อยมีกระแสลมที่ร้ายแรงเท่าไรนัก ก็เลยทำให้น้ำนิ่งสงบไม่มีคลื่นมากมายวนจิตใจ และก็ด้วยความลึกแค่เพียง 20-30 ฟุตเพียงแค่นั้น ก็เลยไม่เป็นปัญหาในการฝึกหัดมุดน้ำอย่างแน่แท้ สำหรับลักษณะเด่นที่ทำให้ผู้ใดกันแน่ก็ต้องการมาดำน้ำที่เกาะนางยวน เป็น น้ำทะเลใสสะอาด ทำให้แลเห็นธรรมชาติใต้น้ำได้อย่างงดงาม โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมุดน้ำลงไป จะเจอกับความสวยสดงดงามแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มีต้นปะการังที่งามงาม พร้อมทั้งฝูงปลาหลายประเภท ซึ่งคนใดกันแน่ที่มีกล้องถ่ายภาพแบบกันน้ำได้ ก็อย่าพลาดที่จะถ่ายภาพต้นปะการังใต้น้ำกลับไปด้วย เว้นเสียแต่จุดมุดน้ำที่น่าดึงดูดแล้ว ก็ยังมีจุดสำหรับชมวิว ซึ่งสามารถแลเห็นทิวทัศน์วิวของทะเลได้อย่างงดงาม และจุดสำหรับเพื่อชมวิวดวงตะวันตก ที่จะทำให้ท่านรู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างมากมาย ที่ตั้ง : เกาะนางยวนอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะเต่า อำเภอเกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2. หินไบ จุดมุดน้ำยอดฮิตที่อยู่ระหว่างเกาะเต่ากับเกาะพงัน โดยมีลักษณะเป็นเทือกเขาหินใต้น้ำที่มีความงามแล้วก็สะดุดตา ทั้งเป็นที่พักอาศัยของเหล่าต้นปะการังรวมทั้งต้นไม้ใต้น้ำบางจำพวกที่มีชีวิตชีวาสะดุดตาอีกด้วย ซึ่งจุดแข็งของเกาะหินไบก็มีดังนี้ เป็นจุดศูนย์รวมของฝูงปลาที่มีความหนาแน่นที่สุด โดยยิ่งไปกว่านั้นปลากระเบนราหู ปลากะดง และก็ปลาอีกหลายประเภท ซึ่งคนใดกันที่ถูกใจดูรวมทั้งเก็บภาพฝูงปลางามๆก็ห้ามพลาดที่จะว่ามุดน้ำตรงนี้เด็ดขาด มองลึกลับและก็น่าค้นหากับฝูงปลาที่เข้าไปหลบซ่อนอยู่ในซากเรืออัปปาง โดยเป็นภาพที่หาดูได้ยากมากมาย เด่นด้วยต้นปะการังนานาประเภท ซึ่งที่หินไบก็ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของต้นปะการังที่สวยสะดุดตาเป็นที่สุด ที่ตั้ง : หินไบตั้งอยู่ทางภาคเหนือของเกาะพงัน อำเภอเกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี 3. กองทรายแดง จุดมุดน้ำบนเกาะเต่า ที่มีทั้งยังจุดมุดน้ำลึกแล้วก็มุดน้ำตื้น โดยหรูหราความลึกที่ 5-20 เมตร แล้วก็ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของต้นปะการังอ่อนสีสดที่สวยงาม ซึ่งที่กองทรายแดง ก็เป็นจุดมุดน้ำยอดนิยมจากนักเดินทางไม่น้อย รวมทั้งด้วยระดับความลึกที่ไม่ลึกจนกระทั่งเหลือเกิน ก็เลยเหมาะสมกับนักประดาน้ำมือใหม่ที่สุด สำหรับจุดแข็งของจุดมุดน้ำที่นี้ ดังเช่นว่า เป็นจุดศูนย์รวมของต้นปะการังแล้วก็ธรรมชาติใต้ทะเลที่มีความเด่น อีกทั้งต้นปะการังอ่อนสีสด ฟองน้ำครก รวมทั้งกะละปังหา ดูสวยสดงดงาม เพลินตา ด้วยแนวปะการังหลายสีสัน รวมทั้งฝูงปลาหลากจำพวก ที่จะทำให้ท่านรู้สึกตื่นตาตื่นใจรวมทั้งสุขสบาย ที่ตั้ง : กองทรายแดงตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเต่า อำเภอเกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี 4. กองจังหวัดชุมพร จุดมุดน้ำดูต้นปะการังที่ได้รับการยินยอมรับจากนักเดินทางส่วนมากว่างดงามมากมาย และก็เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์หายากหลายจำพวก ตรงนี้ก็เลยชอบมีนักท่องเที่ยววนเวียนมาดำน้ำกันอยู่ตลอด… ดูเพิ่มเติม »
เที่ยวช่วงหน้าฝนต้องระวังพายุหน่อย น่ากลัว