ข้อดีของน้ำส้ม ที่ใคร ๆ ก็เรียกว่าน้ำนางเอก

ข้อดีของน้ำส้ม ที่ใคร ๆ ก็เรียกว่าน้ำนางเอก

ข้อดีของน้ำส้ม ที่ใคร ๆ ก็เรียกว่าน้ำนางเอก

        น้ำส้ม เป็นเครื่องดื่มที่หลายคนรู้จักและคุ้นเคยกันดี เนื่องจากเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยและมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวที่สดชื่น นอกจากรสชาติที่ดีแล้ว น้ำส้มยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพที่หลายคนอาจไม่รู้ โดยเฉพาะน้ำส้มที่มีคุณสมบัติเป็น “น้ำนางเอก” หรือที่เรียกกันว่า น้ำส้มคั้นสด ซึ่งเต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่ดีเยี่ยม

        หนึ่งในข้อดีที่สำคัญของน้ำส้มคั้นสดคือ การช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เนื่องจากน้ำส้มมีวิตามินซีสูง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยเพิ่มภูมิต้านทานและป้องกันการติดเชื้อ นอกจากนี้ วิตามินซีในน้ำส้มยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวมีความกระจ่างใสและชุ่มชื้น ลดการเกิดริ้วรอยและความหมองคล้ำ น้ำส้มยังเป็นแหล่งของไฟเบอร์ที่ดี ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดีขึ้น การดื่มน้ำส้มเป็นประจำสามารถช่วยป้องกันอาการท้องผูกและช่วยให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างปกติ

        อีกหนึ่งข้อดีที่ไม่ควรมองข้ามคือน้ำส้มช่วยให้ร่างกายมีพลังงานในระยะยาว เนื่องจากมีน้ำตาลจากธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มพลังงานได้ทันที โดยไม่ทำให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้า

        สรุปได้ว่า น้ำส้ม หรือ “น้ำนางเอก” เป็นเครื่องดื่มที่ไม่เพียงแค่มีรสชาติอร่อย แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ทั้งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ และช่วยในการย่อยอาหาร จึงควรดื่มน้ำส้มเป็นประจำเพื่อสุขภาพที่ดี

อาการเสื่อมสภาพการได้ยิน

อาการเสื่อมสภาพการได้ยิน

 

 

สาเหตุที่ทำให้เกิดหูแว่วควรรักษาอาการหูแว่วอย่างไร
การได้รับเสียงดังเป็นระยะเวลานาน
หนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของหูแว่วคือการสัมผัสกับเสียงดังที่มีความเข้มข้นสูงเป็นระยะเวลานาน เช่น

การฟังเพลงในระดับเสียงสูงผ่านหูฟัง
การทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง เช่น โรงงาน, สนามบิน, หรือการใช้เครื่องมือที่มีเสียงดัง
การไปฟังดนตรีสดหรือคอนเสิร์ตที่มีเสียงดัง
เสียงดังเหล่านี้สามารถทำลายเซลล์ขนในหูชั้นใน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรับเสียง ทำให้ผู้ที่สัมผัสเสียงดังเป็นเวลานานมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาหูแว่วในภายหลัง

การเสื่อมสภาพการได้ยิน (Presbycusis)
อายุที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้การได้ยินของคนเราเสื่อมสภาพ ซึ่งมักจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป การสูญเสียการได้ยินที่เกี่ยวข้องกับอายุ (Presbycusis) มักจะเป็นสาเหตุของหูแว่วในผู้สูงอายุ เนื่องจากการเสื่อมสภาพของเซลล์ขนในหูที่ทำหน้าที่รับเสียงและส่งข้อมูลเสียงไปยังสมอง

การติดเชื้อในหูหรือการอักเสบ
การติดเชื้อหรือการอักเสบในหูชั้นกลางหรือหูชั้นในสามารถทำให้เกิดอาการหูแว่วได้
หูอักเสบ (Otitis Media): การติดเชื้อที่หูชั้นกลางทำให้เกิดการอักเสบและการบวม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดหูแว่ว
ภาวะหูชั้นในอักเสบ (Labyrinthitis): การติดเชื้อในหูชั้นในสามารถทำให้เกิดอาการหูแว่ว ร่วมกับอาการเวียนหัวและการสูญเสียการทรงตัว

ภาวะทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับหูและการได้ยิน
บางภาวะทางการแพทย์อาจเกี่ยวข้องกับหูแว่ว เช่น
ภาวะหูชั้นในเสื่อมสภาพ (Meniere’s Disease): โรคนี้ส่งผลต่อหูชั้นในและทำให้เกิดอาการเวียนหัว, สูญเสียการได้ยิน, และหูแว่ว
ภาวะหูหนวกหรือการสูญเสียการได้ยิน (Sensorineural Hearing Loss): การสูญเสียการได้ยินประเภทนี้มักจะเกี่ยวข้องกับความผิดปกติในหูชั้นใน หรือเส้นประสาทหูที่ส่งสัญญาณเสียงไปยังสมอง

การบาดเจ็บที่หูหรือศีรษะ
อุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บที่หู, ศีรษะ, หรือกระดูกสันหลังส่วนคออาจส่งผลให้เกิดหูแว่วได้ เช่น:
การถูกกระทบกระแทกที่ศีรษะอย่างรุนแรงการบาดเจ็บที่หูทำให้เกิดความเสียหายที่หูชั้นในหรือเส้นประสาทหู

ภาวะเครียดและวิตกกังวล
ความเครียดและความวิตกกังวลสามารถกระตุ้นให้เกิดหูแว่วหรือทำให้อาการหูแว่วที่มีอยู่แล้วรุนแรงขึ้น การศึกษาพบว่าอาการหูแว่วบางครั้งเชื่อมโยงกับภาวะทางจิตใจและความเครียดทางอารมณ์ การจัดการกับความเครียดและภาวะทางจิตใจสามารถช่วยลดอาการหูแว่วได้ในบางกรณี

การใช้ยาบางประเภท
ยาบางชนิดอาจเป็นสาเหตุของการเกิดหูแว่ว ได้แก่
ยาในกลุ่มที่มีผลข้างเคียงเป็นพิษต่อตับหรือหู (Ototoxic drugs) เช่น ยาต้านจุลชีพ (Antibiotics) กลุ่ม Aminoglycosides, ยาต้านมะเร็งบางชนิด, ยาขับปัสสาวะที่มีผลต่อการทำงานของหู
ยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรคหลอดเลือดสมอง, ความดันโลหิตสูง หรือภาวะทางจิตเวช อาจทำให้เกิดอาการหูแว่วได้

การเปลี่ยนแปลงในความดันภายในหู
การเปลี่ยนแปลงในความดันในหูสามารถทำให้เกิดอาการหูแว่ว เช่น
การบิน: การเปลี่ยนแปลงของความดันเมื่อขึ้นเครื่องบินอาจทำให้เกิดการอุดตันในหูและเกิดหูแว่ว
การดำน้ำ: ความดันน้ำที่เพิ่มขึ้นในระหว่างการดำน้ำสามารถทำให้เกิดอาการหูแว่วได้

ปัญหาสุขภาพทั่วไป
บางโรคและปัญหาสุขภาพทั่วไปอาจเชื่อมโยงกับหูแว่วได้ เช่น:
โรคเบาหวาน: ความผิดปกติในระบบหลอดเลือดที่เกิดจากโรคเบาหวานอาจส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดในหูและทำให้เกิดหูแว่ว
โรคความดันโลหิตสูง: ความดันโลหิตสูงอาจส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนเลือดในหู ทำให้เกิดอาการหูแว่ว

สรุป
รักษาอาการหูแว่วอย่างไรสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นผลจากการได้รับเสียงดังเป็นระยะเวลานาน, การเสื่อมสภาพการได้ยินตามอายุ, หรือภาวะทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับหู การวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการหูแว่วจึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสม การตรวจหูและปรึกษาแพทย์จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้

 

Dr.Manit Sripot

doctorforyou.biz

รับคนไข้ป่วยเรื้อรัง คนไข้สิ้นหวัง คนไข้ผิดหวังจากการักษามาในอดีต คนไข้อ่อนแรง
คนไข้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง คนไข้แพ้สาร-ยาเคมี
ติดต่อปรึกษาหมอทางโทรหรือไลน์ รักษาอาการเครียดนอนไม่หลับ
รักษาอาการประสาทหูเสื่อม และ รักษาอาการหูแว่วอย่างไร

โทรปรึกษา : 082 387 7288
ID LINE : YAFORYOU
website : doctorforyou.biz

บริการทำฟันมีอะไรบ้าง?

บริการทำฟันมีอะไรบ้าง?

บริการทำฟันมีอะไรบ้าง?

การดูแลสุขภาพฟันเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพราะฟันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่มีบทบาทในการช่วยในการบดเคี้ยวอาหาร รวมถึงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความมั่นใจในบุคลิกภาพของเรา การไปพบทันตแพทย์เพื่อรับบริการทำฟันไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาความสะอาดของฟัน แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปากที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

1. การขูดหินปูน (Scaling)

การขูดหินปูนเป็นบริการที่จำเป็นในการดูแลสุขภาพช่องปาก เนื่องจากหินปูนเกิดจากการสะสมของคราบจุลินทรีย์ที่แข็งตัวจากน้ำลายและอาหาร โดยหินปูนจะเกิดขึ้นตามซอกฟันและรอบ ๆ เหงือก ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้จะเป็นสาเหตุของโรคเหงือกอักเสบและฟันผุ

 

2. การอุดฟัน (Dental Filling)

การอุดฟันเป็นบริการที่ใช้ในการรักษาฟันที่เกิดการผุหรือรอยแตก โดยการใช้วัสดุอุดฟันเช่น อมัลกัม (Amalgam) หรือคอมโพสิตเรซิน (Composite Resin) ซึ่งจะถูกเติมลงในโพรงฟันที่เกิดการผุ การอุดฟันช่วยป้องกันไม่ให้การผุของฟันลุกลามไปมากขึ้น และยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟันนั้น ๆ อีกด้วย

 

3. การถอนฟัน (Tooth Extraction)

การถอนฟันเป็นบริการที่จำเป็นเมื่อฟันมีปัญหาจนไม่สามารถรักษาได้ เช่น ฟันผุรุนแรง ฟันคุด หรือฟันที่ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถรักษาให้กลับมาใช้งานได้

 

4. การรักษารากฟัน (Root Canal Treatment)

การรักษารากฟันหรือการรักษาคลองรากฟัน คือการรักษาฟันที่มีปัญหาจากการติดเชื้อภายในเนื้อฟันหรือคลองรากฟัน โดยการเข้าไปทำความสะอาดและกำจัดเนื้อฟันที่ติดเชื้อออก จากนั้นเติมวัสดุพิเศษเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคกลับมาอีก

 

5. การทำครอบฟัน (Dental Crown)

การทำครอบฟันเป็นบริการที่ใช้ในการครอบฟันที่มีความเสียหาย เช่น ฟันแตกหรือฟันที่ได้รับการรักษารากฟันแล้ว ซึ่งฟันที่ได้รับการครอบจะมีความแข็งแรงและทนทานมากขึ้น วัสดุที่ใช้ทำครอบฟันมีหลากหลายชนิด เช่น เซรามิก, โลหะผสม หรือวัสดุที่มีความทนทานสูง

ทำสวนสำหรับมือใหม่ ปลูกผักอะไรขึ้นง่าย?

ทำสวนสำหรับมือใหม่ ปลูกผักอะไรขึ้นง่าย?

ทำสวนสำหรับมือใหม่ ปลูกผักอะไรขึ้นง่าย?

การปลูกผักในสวนเป็นกิจกรรมที่นอกจากจะช่วยให้คุณได้สัมผัสกับธรรมชาติแล้ว ยังสามารถสร้างความสุขและความภูมิใจจากการได้เห็นผักที่ปลูกขึ้นอย่างสดใสและสมบูรณ์ การเริ่มต้นทำสวนสำหรับมือใหม่อาจดูยากในตอนแรก แต่จริง ๆ แล้วการปลูกผักไม่จำเป็นต้องซับซ้อน หรือใช้พื้นที่มากมาย บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับผักที่ปลูกง่ายและเหมาะสำหรับมือใหม่ พร้อมทั้งแนะนำเคล็ดลับในการทำสวน

Free Vibrant close-up of a young tomato seedling sprouting in the soil. Stock Photo

วิธีเตรียมตัวเพื่อทำสวนผักในฝัน

  1. เลือกผักที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและพื้นที่ ผักแต่ละชนิดต้องการสภาพอากาศและพื้นที่ปลูกที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนเริ่มปลูกผักควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผักที่คุณสนใจปลูกก่อนว่าต้องการแสงแดด น้ำ และพื้นที่ปลูกมากน้อยแค่ไหน
  2. เตรียมดินปลูกให้พร้อม ดินปลูกที่ดีควรมีความอุดมสมบูรณ์ มีความชื้น และมีการระบายน้ำที่ดี หากคุณไม่แน่ใจว่าดินของคุณดีหรือไม่ คุณสามารถซื้อดินปลูกสำเร็จรูปมาใช้ได้
  3. เลือกเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี เมล็ดพันธุ์คุณภาพดีจะช่วยให้ผักของคุณเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตที่ดก หากคุณไม่แน่ใจว่าจะเลือกเมล็ดพันธุ์อย่างไร คุณสามารถสอบถามได้จากร้านขายเมล็ดพันธุ์
  4. ปลูกผักในกระถางหรือแปลงปลูก หากคุณมีพื้นที่จำกัด คุณสามารถปลูกผักในกระถางได้ แต่หากคุณมีพื้นที่มากพอ คุณสามารถปลูกผักในแปลงปลูกได้
  5. รดน้ำผักให้เพียงพอ ผักต้องการน้ำในปริมาณที่เหมาะสม หากรดน้ำมากเกินไป อาจทำให้ผักเน่าได้ หากรดน้ำน้อยเกินไป อาจทำให้ผักเหี่ยวเฉาได้
  6. ใส่ปุ๋ยให้ผักอย่างสม่ำเสมอ ปุ๋ยจะช่วยให้ผักเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตที่ดก ควรใส่ปุ๋ยตามคำแนะนำบนฉลาก
  7. กำจัดวัชพืชและศัตรูพืช วัชพืชและศัตรูพืชอาจทำลายผักของคุณได้ ควรกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชอย่างสม่ำเสมอ
  8. เก็บเกี่ยวผักอย่างถูกวิธี เก็บเกี่ยวผักเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม หากเก็บเกี่ยวเร็วเกินไป ผักอาจยังไม่สุก หากเก็บเกี่ยวช้าเกินไป ผักอาจเหี่ยวเฉาได้
  9. ตกแต่งสวนผักให้สวยงาม นอกจากการปลูกผักแล้ว คุณยังสามารถตกแต่งสวนผักของคุณให้สวยงามได้ด้วยการปลูกดอกไม้หรือไม้ประดับรอบ ๆ สวน

Free Vibrant close-up of fresh green lettuce leaves in a garden, highlighting details. Stock Photo

ผัก 4 ชนิดที่ปลูกง่าย ดูแลง่ายที่สุด

  • ผักบุ้ง ผักบุ้งถือเป็นผักที่มือใหม่สามารถปลูกได้ง่ายที่สุด เนื่องจากมันเจริญเติบโตได้ดีในดินทุกประเภท และสามารถปลูกได้ทั้งในดินและในน้ำ หากคุณต้องการปลูกผักบุ้งในกระถางหรือตะกร้า มันก็จะเติบโตได้ดี เพียงแค่ใส่ดินให้แน่นพอและตั้งกระถางไว้ในที่มีแสงแดดเพียงพอ ผักบุ้งจะเติบโตอย่างรวดเร็วและสามารถเก็บเกี่ยวได้ภายใน 3-4 สัปดาห์
  • ผักคะน้า ผักคะน้าเป็นอีกหนึ่งผักที่ปลูกง่ายสำหรับมือใหม่ เพราะไม่ต้องการการดูแลที่ซับซ้อน ผักคะน้าชอบดินที่มีความชื้นสูงและมีการระบายน้ำที่ดี ควรปลูกในพื้นที่ที่ได้รับแสงแดดเต็มที่เพื่อให้ได้ใบที่มีคุณภาพดี
  • กะเพรา การปลูกกะเพรานั้นง่ายมาก เพราะเป็นพืชที่ทนทานและเติบโตเร็ว กะเพราชอบแสงแดดจัดและน้ำในปริมาณที่พอดี การปลูกกะเพราในกระถางหรือในสวนที่มีพื้นที่แคบก็สามารถทำได้ดี เพียงแค่ทำให้ดินมีความชื้นและระบายน้ำได้ดี
  • โหระพา โหระพาคือสมุนไพรที่เหมาะมากสำหรับการปลูกในสวนขนาดเล็ก หรือแม้แต่ในกระถาง โหระพาชอบแสงแดดและไม่ต้องการการดูแลที่มากนัก เพียงแค่ปลูกในดินที่มีการระบายน้ำดีและให้แสงแดดตลอดวันก็จะเติบโตได้ดี

 

ตกแต่งและปกป้องสวนด้วยรั้วสำเร็จ

นอกจากการปลูกผักแล้ว คุณยังสามารถตกแต่งสวนผักของคุณให้สวยงามได้ด้วยการติดตั้งรั้วสำเร็จ รั้วสำเร็จมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบไม้ แบบเหล็ก และแบบปูนซีเมนต์ คุณสามารถเลือกแบบที่เหมาะกับสไตล์สวนของคุณได้ อีกทั้งมันยังช่วยให้ไม่มีสัตว์เพ่นพ่านเข้ามาเหยียบแปลงหรือกัดกินผักที่คุณปลูกเอาไว้จนหมด

เลือกรองพื้นสีผิวผิวขาวเหลือง

เลือกรองพื้นสีผิวผิวขาวเหลือง

การเลือกรองพื้นสำหรับคนผิวขาวเหลือง (หรือผิวโทนเหลือง) เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ลุคที่สวยงามและดูเป็นธรรมชาติ การเลือกสีรองพื้นที่เหมาะสมช่วยให้ผิวหน้าดูสม่ำเสมอและไม่ดูขาวหรือดำเกินไป ดังนั้น การเลือกซื้อรองพื้นจากโรงงานที่รับผลิตเครื่องสำอางสำหรับคนผิวขาวเหลืองจะต้องพิจารณาหลายปัจจัย ดังนี้

 

เข้าใจโทนสีผิวของตัวเอง
ผิวขาวเหลือง หมายถึง ผิวที่มีความสว่างหรือขาว แต่มีโทนสีเหลืองเป็นหลัก ซึ่งมีความแตกต่างจากผิวขาวชมพู (ผิวที่มีโทนสีชมพู) หรือผิวขาวอมเทา
เมื่อเลือกสีรองพื้นสำหรับผิวขาวเหลือง ควรเลือกเฉดที่ช่วยเสริมโทนเหลืองในผิว ซึ่งจะทำให้ผิวดูสดใสและเป็นธรรมชาติ

เลือกรองพื้นที่มีโทนสีเหลือง
รองพื้นสำหรับคนผิวขาวเหลืองควรเลือกที่มี โทนเหลือง หรือ โทนพีช ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวดูสว่างขึ้นโดยไม่ทำให้หน้าดูหมองคล้ำหรือขาวจนเกินไป
โดยทั่วไป รองพื้นที่มีชื่อเรียกเช่น Golden หรือ Yellow undertone จะเหมาะกับคนที่มีผิวขาวเหลือง

หลีกเลี่ยงรองพื้นที่มีโทนสีชมพูหรือเทา
ถ้าเลือกใช้รองพื้นที่มี โทนสีชมพู หรือ เทา อาจทำให้ผิวดูหมองคล้ำและไม่สดใส เพราะมันจะไปตัดกับโทนสีเหลืองของผิว
หากต้องการการปกปิดที่ดีแต่ไม่ต้องการให้ดูเยอะเกินไป ควรหลีกเลี่ยงรองพื้นที่มีโทนสีชมพูหรือเทามากเกินไป

ทดสอบรองพื้นก่อนการเลือกซื้อ
ควรทดสอบรองพื้นกับผิวหน้าในแสงธรรมชาติ เนื่องจากแสงเทียมในร้านอาจทำให้สีรองพื้นดูแตกต่างไปจากในแสงธรรมชาติ
ทาลงบนผิวตรงช่วงกรามหรือขากรรไกร เพื่อดูการผสมผสานของสีรองพื้นกับสีผิวที่ตรงกันดีที่สุดจากโรงงานรับผลิตเครื่องสำอาง

เลือกระดับการปกปิดที่เหมาะสม
สำหรับคนผิวขาวเหลืองที่มีผิวหน้าเรียบเนียน สามารถเลือกใช้รองพื้นที่มี การปกปิดระดับกลางถึงปานกลาง ซึ่งจะให้ลุคธรรมชาติ
หากมีปัญหาผิวบางจุดที่ต้องการปกปิดมาก เช่น จุดด่างดำหรือรอยสิว ก็สามารถเลือกใช้รองพื้นที่มี การปกปิดสูง แต่ควรเลือกสีที่เหมาะสมกับโทนผิวด้วย

พิจารณาผิวประเภทของคุณ
ผิวแห้ง: เลือกรองพื้นที่มีความชุ่มชื้นหรือเนื้อครีมที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิว เช่น รองพื้นสูตรที่มีส่วนผสมของน้ำหรือวิตามิน
ผิวมัน: เลือกรองพื้นที่มีสูตรที่คุมความมัน เช่น รองพื้นสูตรแมตต์ที่ช่วยให้การควบคุมความมันอยู่ในระดับดี
ผิวผสม: เลือกรองพื้นที่สามารถใช้ได้ทั้งในส่วนที่แห้งและมัน โดยอาจเลือกสูตรน้ำหรือสูตรที่มีความเบาบาง

ปรับแต่งเฉดสีรองพื้นด้วยไฮไลท์และคอนทัวร์
หากไม่พบสีรองพื้นที่เหมาะสมเป๊ะๆ ก็สามารถใช้เทคนิค การผสมสี ได้ เช่น การใช้ไฮไลท์ในบางจุดเพื่อปรับสีให้สดใสขึ้น หรือใช้คอนทัวร์เพื่อเสริมรูปหน้าให้ดูมีมิติ
การเลือกสีคอนทัวร์และไฮไลท์ที่มีโทนสีเหลืองหรือพีชจะช่วยให้ผิวดูสมดุลมากขึ้น

ตัวอย่างรองพื้นที่เหมาะสมกับคนผิวขาวเหลือง
Fenty Beauty Pro Filt’r Soft Matte Longwear Foundation (สีที่มีโทนเหลือง)
Estée Lauder Double Wear Stay-in-Place Makeup (โทนสีเหลืองเหมาะกับผิวขาวเหลือง)
Maybelline Fit Me Matte + Poreless Foundation (สำหรับผิวมันและผิวขาวเหลือง)
MAC Studio Fix Fluid Foundation (สีในโทน NC หรือ NW ที่เหมาะกับผิวขาวเหลือง)

สรุป
การเลือกรองพื้นสำหรับคนผิวขาวเหลืองควรเน้นเลือกเฉดสีที่มี โทนเหลือง หรือ โทนพีช ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวดูสดใสและเป็นธรรมชาติ โดยหลีกเลี่ยงรองพื้นที่มีโทนสีชมพูหรือเทา นอกจากนี้ การเลือกรองพื้นจากโรงงานที่รับผลิตเครื่องสำอาง ทดสอบสีรองพื้นบนผิวจริงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด.

รับผลิตเครื่องสำอาง โรงงานผลิตเครื่องสำอาง

Cn corporation Co.,LTD. รับผลิตเครื่องสำอาง โดย โรงงานผลิตเครื่องสำอาง ที่ทันสมัย ผลิตตามมาตรฐาน ของกระทรวงสาธารณสุข มีสูตรมาตรฐานให้เลือกหลากหลายสูตร
อาทิ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้ากระจ่างใส ลดเลือนฝ้ากระ, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว, ผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอย, ผลิตภัณฑ์ลดการแพ้ และการเกิดสิว, ผลิตภัณฑ์กันแดด, ผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร, ผลิตภัณฑ์สปาแคร์,
ผลิตภัณฑ์ตกแต่งริมฝีปาก ลิปแมท ลิปมัน ลิปกรอส ลิปบาล์ม นอกจากนั้นเรายังมีบริการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์

Facebookpage : Cn corporation Lab รับผลิตเครื่องสำอาง ครบวงจร
อีเมล : info@cncorporation.co.th
เบอร์โทรศัพท์ : 062-949-8888

7 เมนูอาหารเกาหลีที่ต้องลองสักครั้งในชีวิต!

7 เมนูอาหารเกาหลีที่ต้องลองสักครั้งในชีวิต!

7 เมนูอาหารเกาหลีที่ต้องลองสักครั้งในชีวิต!

เกาหลีใต้ไม่เพียงแค่โดดเด่นเรื่องเทคโนโลยีหรือวัฒนธรรมป๊อปที่โด่งดังไปทั่วโลก แต่ยังมีอาหารเกาหลีที่มีเอกลักษณ์ รสชาติเข้มข้น และเต็มไปด้วยความหลากหลายที่ไม่ควรพลาด หากคุณยังไม่เคยลองอาหารเกาหลี วันนี้เราจะพาคุณไปพบกับ 10 เมนูที่ชีวิตนี้ต้องลองสักครั้ง เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การรับประทานอาหารของคุณให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

Free Savory Korean stir-fried noodles with vegetables and meat in a traditional stone bowl. Stock Photo

กิมจิ (Kimchi)

กิมจิ คืออาหารเกาหลีที่ทุกคนต้องรู้จัก มันคือตำรับผักดอง โดยส่วนใหญ่จะทำจากกะหล่ำปลี หรือผักหัวต่าง ๆ ที่หมักกับพริกเกาหลี กระเทียม ขิง และเครื่องปรุงอื่น ๆ ให้มีรสชาติที่เผ็ด เปรี้ยว และเค็ม ซึ่งถือเป็นอาหารหลักที่ขาดไม่ได้ในทุกมื้ออาหารของชาวเกาหลี นอกจากจะมีรสชาติที่ดีแล้ว กิมจิยังเป็นแหล่งของโปรไบโอติกส์ ซึ่งดีต่อการย่อยอาหารและสุขภาพโดยรวม

บิบิมบับ (Bibimbap)

บิบิมบับเป็นหนึ่งในเมนูที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาหลี ซึ่งแปลว่า “ข้าวผสม” เป็นอาหารที่รวมข้าวสวยร้อน ๆ กับผักสด เช่น สปริงออนion, เห็ด, สาหร่ายทะเล และเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัวหรือไก่ ซึ่งทุกอย่างจะถูกคลุกเคล้ากับซอสโคชูจัง (ซอสพริกเกาหลี) และไข่ดิบหรือไข่ทอด ทานคู่กับซอสที่ช่วยเพิ่มรสชาติ โดยบิบิมบับถือเป็นอาหารที่มีความหลากหลายทั้งในแง่ของรสชาติและเนื้อสัมผัส เป็นเมนูที่ทั้งอร่อยและมีประโยชน์

บุลโกกิ (Bulgogi)

บุลโกกิ คือเนื้อวัวบาง ๆ หมักกับซอสโคชูจังและส่วนผสมอื่นๆ ย่างจนสุก มีรสชาติหวานเค็มกลมกล่อม นิยมทานคู่กับผักสดและข้าวสวยร้อนๆ

Free Close-up of a Korean food stall menu showcasing mandu price listings in an urban street market. Stock Photo

ซัมกยอบซัล (Samgyeopsal)

ซัมกยอบซัลคือเนื้อหมูสามชั้นที่ถูกย่างบนเตาถ่านร้อน ๆ จนได้เนื้อหมูกรอบและหอม บางครั้งก็ทานคู่กับเครื่องเคียงต่าง ๆ เช่น ผักสด, กระเทียม, และซอสเต้าเจี้ยว มีความสนุกในการทานเพราะจะต้องย่างเองบนเตาร้อนตามความชอบส่วนตัว เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเกาหลีและกลายเป็นกิจกรรมที่ชาวเกาหลีมักทำร่วมกันกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง

ซุปกิมชี (Kimchi Jjigae)

ซุปกิมชี หรือที่เรียกกันว่า “กิมชีจีกา” เป็นซุปที่ใช้กิมจิเป็นส่วนประกอบหลัก เมนูนี้มักจะใส่หมูหรือเนื้อไก่ลงไปในซุป เพื่อเพิ่มความหอมและรสชาติ ซุปนี้มักจะร้อนจัดและเผ็ดร้อน และสามารถทานกับข้าวสวยร้อน ๆ ได้เป็นอย่างดี กิมชีจีกาถือเป็นอาหารที่ทานได้ง่ายในทุกฤดูกาล และเป็นเมนูที่ถูกใจคนรักรสเผ็ด

เกาหลีทอด (Chimek)

เกาหลีทอด หรือที่เรียกกันว่า “ไก่ทอดเกาหลี” เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ชาวเกาหลีกินคู่กับเบียร์ในช่วงเวลาพิเศษหรือเวลาเที่ยวกันกับเพื่อนฝูง เนื้อไก่จะถูกทอดจนกรอบนอกนุ่มใน แล้วราดด้วยซอสที่มีรสชาติหวาน-เผ็ด ทำให้ได้รสชาติจัดจ้านและอร่อย บางครั้งก็จะเสิร์ฟคู่กับมันฝรั่งทอดหรือเครื่องเคียงต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นมื้ออาหารที่ให้ความสุขทั้งในแง่รสชาติและบรรยากาศ

ฮเย (Hwe)

ฮเย หรือปลาดิบเกาหลี เป็นอาหารที่คล้ายกับซาชิมิของญี่ปุ่น แต่ว่าจะนำปลาดิบมาราดด้วยซอสพริกเกาหลีหรือเครื่องปรุงอื่น ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติให้เผ็ดร้อนและมีความเปรี้ยว เมื่อรับประทานจะได้สัมผัสของปลาที่สดและรสชาติที่เข้มข้น เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมในหมู่นักชิมปลาดิบและคนที่ชื่นชอบอาหารทะเล

Free Top view of vegetable sushi rolls with chopsticks and wasabi on a white plate. Stock Photo

สรุป

อาหารเกาหลีไม่ได้มีแค่รสชาติที่เผ็ดและเผ็ดร้อนเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยรสชาติที่หลากหลายและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากวัตถุดิบสดใหม่และการปรุงที่พิถีพิถัน คุณสามารถสัมผัสถึงความหลากหลายของวัฒนธรรมการกินของเกาหลีได้จากเมนูเหล่านี้ ทั้งนี้การลองทานอาหารเกาหลีไม่เพียงแต่จะทำให้คุณได้สัมผัสรสชาติที่ยอดเยี่ยม แต่ยังสามารถทำให้คุณเข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจจากประเทศนี้ได้อย่างลึกซึ้ง