หากยึดทรัพย์ เพียงพอต่อการชำระค่าเสียหายต่างๆ แล้ว จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2562เหตุที่โจทก์ขอยึดที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้นเลขที่ 28/15 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาด​ ก็เพื่อบังคับคดีให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายรายเดือน เดือนละ 8,000 บาท นับแต่วันฟ้อง กับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในคดีที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีหนึ่งเท่านั้น แต่ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้น ผู้กระทำยังต้องมีเจตนาพิเศษ​ เพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนด้วย เมื่อปรากฏว่าขณะที่เจ้าพนักงานบังคับคดี​ ทำการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้นดังกล่าว โจทก์คงมีสิทธิได้ค่าเสียหายต่าง ๆ และต่อมาขอรับเงินไปเพียง 478,918.72 บาท ยังมีเงินเหลือที่จะต้องคืนแก่จำเลยที่ 1 กว่า 600,000 บาท ดังนั้นในวันที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินอีกแปลงหนึ่งพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้นอีกหลังหนึ่งเลขที่ 28/13 ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา เจ้าพนักงานบังคับคดีก็มีเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพียงพอต่อการชำระค่าเสียหายพร้อมค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ทั้งหมดแก่โจทก์อยู่ก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแต่อย่างใด จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

หากยึดทรัพย์ เพียงพอต่อการชำระค่าเสียหายต่างๆ แล้ว จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2562เหตุที่โจทก์ขอยึดที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้นเลขที่ 28/15 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาด​ ก็เพื่อบังคับคดีให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายรายเดือน เดือนละ 8,000 บาท นับแต่วันฟ้อง กับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในคดีที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีหนึ่งเท่านั้น แต่ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้น ผู้กระทำยังต้องมีเจตนาพิเศษ​ เพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนด้วย เมื่อปรากฏว่าขณะที่เจ้าพนักงานบังคับคดี​ ทำการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้นดังกล่าว โจทก์คงมีสิทธิได้ค่าเสียหายต่าง ๆ และต่อมาขอรับเงินไปเพียง 478,918.72 บาท ยังมีเงินเหลือที่จะต้องคืนแก่จำเลยที่ 1 กว่า 600,000 บาท ดังนั้นในวันที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินอีกแปลงหนึ่งพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้นอีกหลังหนึ่งเลขที่ 28/13 ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา เจ้าพนักงานบังคับคดีก็มีเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพียงพอต่อการชำระค่าเสียหายพร้อมค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ทั้งหมดแก่โจทก์อยู่ก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแต่อย่างใด จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

หากยึดทรัพย์ เพียงพอต่อการชำระค่าเสียหายต่างๆ แล้ว จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2562เหตุที่โจทก์ขอยึดที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้นเลขที่ 28/15 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาด​ ก็เพื่อบังคับคดีให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายรายเดือน เดือนละ 8,000 บาท นับแต่วันฟ้อง กับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในคดีที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีหนึ่งเท่านั้น แต่ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้น ผู้กระทำยังต้องมีเจตนาพิเศษ​ เพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนด้วย เมื่อปรากฏว่าขณะที่เจ้าพนักงานบังคับคดี​ ทำการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้นดังกล่าว โจทก์คงมีสิทธิได้ค่าเสียหายต่าง ๆ และต่อมาขอรับเงินไปเพียง 478,918.72 บาท ยังมีเงินเหลือที่จะต้องคืนแก่จำเลยที่ 1 กว่า 600,000 บาท ดังนั้นในวันที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินอีกแปลงหนึ่งพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้นอีกหลังหนึ่งเลขที่ 28/13 ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา เจ้าพนักงานบังคับคดีก็มีเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพียงพอต่อการชำระค่าเสียหายพร้อมค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ทั้งหมดแก่โจทก์อยู่ก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแต่อย่างใด จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


หากยึดทรัพย์ เพียงพอต่อการชำระค่าเสียหายต่างๆ แล้ว จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2562
เหตุที่โจทก์ขอยึดที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้น
เลขที่ 28/15 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาด​ ก็เพื่อบังคับคดีให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายรายเดือน เดือนละ 8,000 บาท นับแต่วันฟ้อง กับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในคดีที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีหนึ่งเท่านั้น
แต่ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้น ผู้กระทำยังต้องมีเจตนาพิเศษ​ เพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนด้วย
เมื่อปรากฏว่าขณะที่เจ้าพนักงานบังคับคดี​ ทำการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้นดังกล่าว โจทก์คงมีสิทธิได้ค่าเสียหายต่าง ๆ และต่อมาขอรับเงินไปเพียง 478,918.72 บาท ยังมีเงินเหลือที่จะต้องคืนแก่จำเลยที่ 1 กว่า 600,000 บาท
ดังนั้นในวันที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินอีกแปลงหนึ่งพร้อมทาวน์เฮ้าส์สองชั้นอีกหลังหนึ่งเลขที่ 28/13 ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา เจ้าพนักงานบังคับคดีก็มีเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพียงพอต่อการชำระค่าเสียหายพร้อมค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ทั้งหมดแก่โจทก์อยู่ก่อนแล้ว
การกระทำของจำเลยทั้งสองยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแต่อย่างใด จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้
ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

สามีนำที่ดินสินสมรสไปจดจำนองกับธนาคารโดยภริยาให้ความยินยอม เป็นหนี้ร่วมตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2018/2567จำเลยที่ 1 นำที่ดินที่ได้มาในระหว่างสมรสกับจำเลยที่ 2 อันเป็นสินสมรส ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474(1) ไปจดทะเบียนจำนองแก่โจทก์โดยจำเลยที่ 2 ให้ความยินยอม จึงเป็น หนี้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นสามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกัน ตามมาตรา 1490 (2) โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลย ที่ 1 ได้ โดยไม่จำต้องพิจารณาว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้สัตยาบันแก่หนี้ ตามสัญญากู้กับโจทก์ตามมาตรา 1490(4) หรือไม่

สามีนำที่ดินสินสมรสไปจดจำนองกับธนาคารโดยภริยาให้ความยินยอม เป็นหนี้ร่วมตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2018/2567จำเลยที่ 1 นำที่ดินที่ได้มาในระหว่างสมรสกับจำเลยที่ 2 อันเป็นสินสมรส ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474(1) ไปจดทะเบียนจำนองแก่โจทก์โดยจำเลยที่ 2 ให้ความยินยอม จึงเป็น หนี้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นสามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกัน ตามมาตรา 1490 (2) โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลย ที่ 1 ได้ โดยไม่จำต้องพิจารณาว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้สัตยาบันแก่หนี้ ตามสัญญากู้กับโจทก์ตามมาตรา 1490(4) หรือไม่

สามีนำที่ดินสินสมรสไปจดจำนองกับธนาคารโดยภริยาให้ความยินยอม เป็นหนี้ร่วม
ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2018/2567
จำเลยที่ 1 นำที่ดินที่ได้มาในระหว่างสมรสกับจำเลยที่ 2 อันเป็นสินสมรส ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474(1) ไปจดทะเบียนจำนองแก่โจทก์โดยจำเลยที่ 2 ให้ความยินยอม จึงเป็น หนี้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นสามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกัน ตามมาตรา 1490 (2) โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลย ที่ 1 ได้ โดยไม่จำต้องพิจารณาว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้สัตยาบันแก่หนี้ ตามสัญญากู้กับโจทก์ตามมาตรา 1490(4) หรือไม่

ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกหาได้ไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1653/2567 บทบัญญัติของ ป.พ.พ. มาตรา 1722 ที่ว่าผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกหาได้ไม่ เว้นแต่พินัยกรรมจะอนุญาตไว้หรือได้รับอนุญาตจากศาล เป็นกรณีที่ใช้บังคับเฉพาะผู้จัดการมรดกที่มิได้เป็นทายาท แต่สำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. ตามคำสั่งศาลแล้วยังเป็นหนึ่งในทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของ ส. การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของ ส. ให้แก่ตนเองเป็นส่วนตัวในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกในที่ดินพิพาทด้วย จึงเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่มีอยู่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากทายาทหรือได้รับอนุญาตจากศาล จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการอันเป็นการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1722 อันจะมีผลทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกหาได้ไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1653/2567 บทบัญญัติของ ป.พ.พ. มาตรา 1722 ที่ว่าผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกหาได้ไม่ เว้นแต่พินัยกรรมจะอนุญาตไว้หรือได้รับอนุญาตจากศาล เป็นกรณีที่ใช้บังคับเฉพาะผู้จัดการมรดกที่มิได้เป็นทายาท แต่สำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. ตามคำสั่งศาลแล้วยังเป็นหนึ่งในทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของ ส. การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของ ส. ให้แก่ตนเองเป็นส่วนตัวในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกในที่ดินพิพาทด้วย จึงเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่มีอยู่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากทายาทหรือได้รับอนุญาตจากศาล จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการอันเป็นการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1722 อันจะมีผลทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1653/2567 บทบัญญัติของ ป.พ.พ. มาตรา 1722 ที่ว่าผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกหาได้ไม่ เว้นแต่พินัยกรรมจะอนุญาตไว้หรือได้รับอนุญาตจากศาล เป็นกรณีที่ใช้บังคับเฉพาะผู้จัดการมรดกที่มิได้เป็นทายาท แต่สำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. ตามคำสั่งศาลแล้วยังเป็นหนึ่งในทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของ ส. การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของ ส. ให้แก่ตนเองเป็นส่วนตัวในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกในที่ดินพิพาทด้วย จึงเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่มีอยู่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากทายาทหรือได้รับอนุญาตจากศาล จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการอันเป็นการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1722 อันจะมีผลทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150
ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

การที่รับจ้างหรือผู้ที่รับจ้างเปิดบัญชีม้า พึงระวัง ท่านอาจมีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง จะอ้างว่า ถูกหลอก ใช้ไม่ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4920/2567การรับจ้างเปิดบัญชีแล้วมอบสมดบัญชีเงินฝากให้บุคคลอื่นไปใช้เป็นเรื่องผิดปกติวิสัย ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาร้ายของจำเลย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยเล็งเห็นได้ว่า ค. อาจเป็นผู้รับจัดหาคนมาเปิดบัญชีให้คนร้ายหรือร่วมกับคนร้ายอาจนำสมุดบัญชีเงินฝากของจำเลยไปใช้ในการกระทำความผิดกฎหมายหรือแสวงหาประโยชน์ที่มีควรได้โดยชอบ จำเลยจะอ้างว่าถูกหลอกใช้หาได้ไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนร้ายได้รับประโยชน์จากบัญชีเงินฝากของจำเลยก่อนและขณะที่คนร้ายร่วมกันฉ้อโกงผู้เสียหายที่ ๒ จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของผู้อื่นฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนคนอื่นทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

การที่รับจ้างหรือผู้ที่รับจ้างเปิดบัญชีม้า พึงระวัง ท่านอาจมีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง จะอ้างว่า ถูกหลอก ใช้ไม่ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4920/2567การรับจ้างเปิดบัญชีแล้วมอบสมดบัญชีเงินฝากให้บุคคลอื่นไปใช้เป็นเรื่องผิดปกติวิสัย ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาร้ายของจำเลย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยเล็งเห็นได้ว่า ค. อาจเป็นผู้รับจัดหาคนมาเปิดบัญชีให้คนร้ายหรือร่วมกับคนร้ายอาจนำสมุดบัญชีเงินฝากของจำเลยไปใช้ในการกระทำความผิดกฎหมายหรือแสวงหาประโยชน์ที่มีควรได้โดยชอบ จำเลยจะอ้างว่าถูกหลอกใช้หาได้ไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนร้ายได้รับประโยชน์จากบัญชีเงินฝากของจำเลยก่อนและขณะที่คนร้ายร่วมกันฉ้อโกงผู้เสียหายที่ ๒ จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของผู้อื่นฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนคนอื่นทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

การที่รับจ้างหรือผู้ที่รับจ้างเปิดบัญชีม้า พึงระวัง ท่านอาจมีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง จะอ้างว่า ถูกหลอก ใช้ไม่ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4920/2567การรับจ้างเปิดบัญชีแล้วมอบสมดบัญชีเงินฝากให้บุคคลอื่นไปใช้เป็นเรื่องผิดปกติวิสัย ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาร้ายของจำเลย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยเล็งเห็นได้ว่า ค. อาจเป็นผู้รับจัดหาคนมาเปิดบัญชีให้คนร้ายหรือร่วมกับคนร้ายอาจนำสมุดบัญชีเงินฝากของจำเลยไปใช้ในการกระทำความผิดกฎหมายหรือแสวงหาประโยชน์ที่มีควรได้โดยชอบ จำเลยจะอ้างว่าถูกหลอกใช้หาได้ไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนร้ายได้รับประโยชน์จากบัญชีเงินฝากของจำเลยก่อนและขณะที่คนร้ายร่วมกันฉ้อโกงผู้เสียหายที่ ๒ จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของผู้อื่นฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนคนอื่นทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

คู่สมรส สามี ภรรยา ให้สัตาบันในการก่อหนี้ ต้องเป็นกรณีที่มีหนี้อยู่ก่อนแล้ว หากเป็นหนี้ในอนาคตให้สัตยาบันไม่ได้การให้สัตยาบันของคู่สมรส สามีหรือภริยา แก่หนี้ที่อีกฝ่ายก่อขึ้นตามมาตรา 1490 (4) ต้องมีหนี้เกิดขึ้นเสียก่อนจึงจะให้สัตยาบันได้ การให้ความยินยอมในขณะที่ยังไม่มีหนี้เกิดขึ้นหรือหนี้ในอนาคต ย่อมไม่ต้องด้วยความหมายของการให้สัตยาบันคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2794/2567การให้ความยินยอมของจำเลยที่ 7 ตามหนังสือยินยอมคู่สมรสจะเป็นการให้ความยินยอมหรือสัตยาบันต่อการกู้เงินตามฟ้องอันเป็นเหตุการณ์ในอนาคตหรือไม่ คงต้องพิจารณาความหมายของคำว่า สัตยาบัน ตามมาตรา 1490(4) เมื่อ ป.พ.พ.มิได้ให้นิยามหรือคำจำกัดความของคำว่าสัตยาบันไว้เป็นการเฉพาะ จึงต้องพิจารณาความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ซึ่งพอสรุปได้ว่า  สัตยาบัน คือการยืนยันรับรองความตกลงหรือการรับรองนิติกรรมและเป็นที่เข้าใจกันได้ว่าบุคคลจะยืนยันรับรองความตกลงหรือรับรองนิติกรรมใดได้ ย่อมต้องมีข้อตกลงหรือนิติกรรมเช่นนั้นเกิดขึ้นเสียก่อนแล้วจึงให้สัตยาบัน การให้สัตยาบันของสามีหรือภริยาแก่หนี้ที่อีกฝ่ายก่อขึ้นตามมาตรา 1490(4) ย่อมมีลักษณะเฉกเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ต้องมีหนี้เกิดขึ้นเสียก่อน สามีหรือภริยาถึงจะให้สัตยาบันได้ การให้ความยินยอมในขณะที่ยังไม่มีความตกลง ไม่มีนิติกรรมหรือไม่มีหนี้เกิดขึ้น ย่อมไม่ต้องด้วยความหมายของการให้สัตยาบัน โจทก์ไม่อาจถือเอาหนังสือยินยอมคู่สมรสที่จำเลยที่ 7 ทำได้ต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2548 มาเป็นการใช้สัตยาบันแก่หนี้ที่จำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดขึ้นในภายหลังเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2558 และวันที่ 3 มิถุนายน 2558 ได้ กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตาม ป.พ.พ.มาตรา 1490(4) ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

คู่สมรส สามี ภรรยา ให้สัตาบันในการก่อหนี้ ต้องเป็นกรณีที่มีหนี้อยู่ก่อนแล้ว หากเป็นหนี้ในอนาคตให้สัตยาบันไม่ได้การให้สัตยาบันของคู่สมรส สามีหรือภริยา แก่หนี้ที่อีกฝ่ายก่อขึ้นตามมาตรา 1490 (4) ต้องมีหนี้เกิดขึ้นเสียก่อนจึงจะให้สัตยาบันได้ การให้ความยินยอมในขณะที่ยังไม่มีหนี้เกิดขึ้นหรือหนี้ในอนาคต ย่อมไม่ต้องด้วยความหมายของการให้สัตยาบันคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2794/2567การให้ความยินยอมของจำเลยที่ 7 ตามหนังสือยินยอมคู่สมรสจะเป็นการให้ความยินยอมหรือสัตยาบันต่อการกู้เงินตามฟ้องอันเป็นเหตุการณ์ในอนาคตหรือไม่ คงต้องพิจารณาความหมายของคำว่า สัตยาบัน ตามมาตรา 1490(4) เมื่อ ป.พ.พ.มิได้ให้นิยามหรือคำจำกัดความของคำว่าสัตยาบันไว้เป็นการเฉพาะ จึงต้องพิจารณาความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ซึ่งพอสรุปได้ว่า สัตยาบัน คือการยืนยันรับรองความตกลงหรือการรับรองนิติกรรมและเป็นที่เข้าใจกันได้ว่าบุคคลจะยืนยันรับรองความตกลงหรือรับรองนิติกรรมใดได้ ย่อมต้องมีข้อตกลงหรือนิติกรรมเช่นนั้นเกิดขึ้นเสียก่อนแล้วจึงให้สัตยาบัน การให้สัตยาบันของสามีหรือภริยาแก่หนี้ที่อีกฝ่ายก่อขึ้นตามมาตรา 1490(4) ย่อมมีลักษณะเฉกเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ต้องมีหนี้เกิดขึ้นเสียก่อน สามีหรือภริยาถึงจะให้สัตยาบันได้ การให้ความยินยอมในขณะที่ยังไม่มีความตกลง ไม่มีนิติกรรมหรือไม่มีหนี้เกิดขึ้น ย่อมไม่ต้องด้วยความหมายของการให้สัตยาบัน โจทก์ไม่อาจถือเอาหนังสือยินยอมคู่สมรสที่จำเลยที่ 7 ทำได้ต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2548 มาเป็นการใช้สัตยาบันแก่หนี้ที่จำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดขึ้นในภายหลังเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2558 และวันที่ 3 มิถุนายน 2558 ได้ กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตาม ป.พ.พ.มาตรา 1490(4) ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

คู่สมรส สามี ภรรยา ให้สัตาบันในการก่อหนี้ ต้องเป็นกรณีที่มีหนี้อยู่ก่อนแล้ว หากเป็นหนี้ในอนาคตให้สัตยาบันไม่ได้การให้สัตยาบันของคู่สมรส สามีหรือภริยา แก่หนี้ที่อีกฝ่ายก่อขึ้นตามมาตรา 1490 (4) ต้องมีหนี้เกิดขึ้นเสียก่อนจึงจะให้สัตยาบันได้ การให้ความยินยอมในขณะที่ยังไม่มีหนี้เกิดขึ้นหรือหนี้ในอนาคต ย่อมไม่ต้องด้วยความหมายของการให้สัตยาบันคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2794/2567การให้ความยินยอมของจำเลยที่ 7 ตามหนังสือยินยอมคู่สมรสจะเป็นการให้ความยินยอมหรือสัตยาบันต่อการกู้เงินตามฟ้องอันเป็นเหตุการณ์ในอนาคตหรือไม่ คงต้องพิจารณาความหมายของคำว่า สัตยาบัน ตามมาตรา 1490(4) เมื่อ ป.พ.พ.มิได้ให้นิยามหรือคำจำกัดความของคำว่าสัตยาบันไว้เป็นการเฉพาะ จึงต้องพิจารณาความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ซึ่งพอสรุปได้ว่า สัตยาบัน คือการยืนยันรับรองความตกลงหรือการรับรองนิติกรรมและเป็นที่เข้าใจกันได้ว่าบุคคลจะยืนยันรับรองความตกลงหรือรับรองนิติกรรมใดได้ ย่อมต้องมีข้อตกลงหรือนิติกรรมเช่นนั้นเกิดขึ้นเสียก่อนแล้วจึงให้สัตยาบัน การให้สัตยาบันของสามีหรือภริยาแก่หนี้ที่อีกฝ่ายก่อขึ้นตามมาตรา 1490(4) ย่อมมีลักษณะเฉกเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ต้องมีหนี้เกิดขึ้นเสียก่อน สามีหรือภริยาถึงจะให้สัตยาบันได้ การให้ความยินยอมในขณะที่ยังไม่มีความตกลง ไม่มีนิติกรรมหรือไม่มีหนี้เกิดขึ้น ย่อมไม่ต้องด้วยความหมายของการให้สัตยาบัน โจทก์ไม่อาจถือเอาหนังสือยินยอมคู่สมรสที่จำเลยที่ 7 ทำได้ต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2548 มาเป็นการใช้สัตยาบันแก่หนี้ที่จำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดขึ้นในภายหลังเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2558 และวันที่ 3 มิถุนายน 2558 ได้ กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตาม ป.พ.พ.มาตรา 1490(4) ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์