by drsuthichai | Nov 12, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
จงฝันให้ไกล….แล้วไปให้ถึง
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
หลายคนมีความฝันอยากเป็น ดารา นักร้อง นักการเมือง นักเขียน นักพูด นักกีฬา แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถพาตัวเองมุ่งไปสู่ความฝันได้สำเร็จ
Tiger Wood ชอบเล่นกอล์ฟ มาตั้งแต่เด็ก แต่เนื่องจากกีฬากอล์ฟในสมัย Tiger Wood นั้น มักเป็นกีฬาที่คนผิวสีขาวเล่นกันโดยเฉพาะใน PGA Tour แทบจะไม่มีคนผิวสีดำและสีเหลืองเล่นกัน แต่ Tiger Wood สามารถเป็นแชมป์โลกในกีฬาประเภทกอล์ฟ ทั้งๆที่มีอายุยังน้อย และเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนสีผิวต่างๆได้เล่นกอล์ฟมากขึ้น
โอปาห์ วินฟรีย์ ตอนอายุ 16 ปี ได้ทำงานเป็นโฆษกรายการวิทยุซึ่งเธอได้รับค่าจ้างเพียงน้อยนิด แต่ทำให้เธอทราบว่า เธอชอบอะไร เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอจึงมุ่งไปสู่เส้นทางของสื่อมวลชนโดยเข้าสู่วงการโทรทัศน์ โดยทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวคนหนึ่ง แต่เธอก็หมั่นฝึกซ้อม ฝึกฝนตนเอง อยู่เสมอ จนกระทั่งเธอเริ่มโดดเด่นและฉายแววขึ้นมา จึงมีคนมาติดต่อให้เธอจัดรายการโทรทัศน์ชื่อว่า “เอ เอ็ม ชิคาโก” ทางสถานีโทรทัศน์ WLS-TV เธอจัดเพียงแค่ 1-2 เดือนเท่านั้น รายการของเธอดังมาก จนในที่สุด เธอคือ ผู้หญิงผิวดำตัวเล็กๆที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในสหรัฐและในโลกในวงการสื่อสารมวลชน
แลนซ์ อาร์มสตรอง เขาคือคนธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อเขาประสบกับโรคมะเร็ง เขาจึงมีความฝันและมีความต้องการที่จะป็นนักปั่นจักรยานอาชีพ จนในที่สุดเขาเป็นนักกีฬาปั่นจักรยานที่โด่งดังที่สุดในโลกคนหนึ่งในฐานะที่เขาสามารถเอาชนะตัวเองและต้องต่อสู้กับโรคมะเร็ง อีกทั้งยังเป็นผู้ที่สร้างความหวัง สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งไปทั่วโลก
David Beckham ดารานักฟุตบอลดังของสโมสรในประเทศอังกฤษ กว่าจะโด่งดังและประสบความสำเร็จเขาต้องทุ่มเทฝึกซ้อมฟุตบอลทุกๆวัน บางวันเขาต้องซ้อมยิงลูกโทษเข้าประตูฟุตบอลหลายร้อยลูกต่อวัน ด้วยความฝึกฝน ด้วยการเสียสละเวลา ทุ่มเท ไม่ได้นำเวลาไปเที่ยวแตร่เหมือนกับเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน ปัจจุบันเขาคือนักฟุตบอลอาชีพที่มีค่าตัวแพงที่สุดและมีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก
เหมา เจ๋อ ตุง กว่าที่เขาจะปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศจีนสำเร็จ เขาต้องพบกับความลำบาก เขาต้องเผชิญหน้ากับความตายอยู่หลายครั้ง เขาต้องทำงานที่หนัก เขาต้องเสียสละละทิ้งครอบครัวของเขา และเขาต้องพบกับความล้มเหลวในการปฏิวัติและการต่อสู้กับศัตรูหรือคู่แข่งทางการเมืองอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่ทิ้งความฝันของเขาในที่สุด เขาสามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศจีนและได้รับยกย่องจากประชาชนจีนอีกเป็นจำนวนมาก ว่าเป็นวีรบุรุษในหัวใจ
ชิน โสภณพนิช กว่าจะเป็นธนราชันย์ เป็นผู้สร้างธนาคารกรุงเทพจนใหญ่กลายเป็นอันดับหนึ่งของประเทศแล้วนำไปสู่ความเจริญเติบโตอันดับต้นๆของเอเชียอาคเนย์ เขาต้องทุ่มเทการทำงานอย่างหนัก มุ่งมั่น ขยัน อดทน มานะ บุกบั่น ซึ่งจุดเริ่มต้นของเขาก็ไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่เกิด มิหนำซ้ำเขายังเริ่มต้นทำงานที่ต่ำต้อย คือเขาทำงานเป็น กรรมกรแบกหาม (กุลี หรือ จับกัง) แต่ด้วยเขาเป็นคนที่มีความฝันใหญ่ในที่สุดเขาคือ “ ธนราชันย์” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ฉะนั้น หลายคนมักบ่นกับผมว่าอยากที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพต่างๆ มีอยู่ทางเดียวก็คือในเมื่อคุณมีความฝันแล้ว คุณจงมุ่งมั่น เดินทางเพื่อไปสู่เป้าหมาย อย่าได้ละทิ้งหรือล้มเลิกก่อนเวลาที่จะประสบความสำเร็จ จงอย่ากลัว อย่าได้สูญเสีย ความตั้งใจ เมื่อมีคนมาด่า มาตำหนิ มาพูดดูถูกคุณ จงฝันให้ไกล แล้วเดินทางไปให้ถึงเป้าหมาย เพราะคุณก็เป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จได้ ดังบุคคลตัวอย่างข้างต้น
หากคุณใฝ่ฝันอยากเป็นนักการตลาดที่เก่งที่สุดในประเทศไทย คุณสามารถเป็นได้ ถ้าคุณกล้าที่จะเป็น คนเราไม่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เพราะพระเจ้า แต่ที่เราไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเราไม่เคยคิดที่จะประสบความสำเร็จต่างหาก ขอให้คุณกล้าที่จะคิด กล้าที่จะเป็น กล้าที่จะทำ แล้วคุณก็จะได้ทุกอย่าง อย่างที่คุณคิด คุณพูดและคุณทำ ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการนำศาสตร์ทางด้านการตลาดไปประยุกต์ใช้ ขอให้ทุกท่านโชคดี
#image_title
by drsuthichai | Nov 12, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
อัจฉริยะพลิกสมอง…เปลี่ยนโลก
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
โทมัส อัลวา เอดิสัน ถือว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลที่โลกยกย่อง แล้วเขาเป็นอิจฉริยะได้อย่างไร จึงเป็นสิ่งที่น่าสมควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะตัวกระผมเองและนักวิชาการอีกเป็นจำนวนมากเชื่อว่า อัจฉริยะสามารถสร้างขึ้นได้ การดูต้นแบบ ชีวิต แนวคิดของบรรดาอัจฉริยะบุคคลเป็นวิธีหนึ่งที่จะสามารถทำให้เราเป็นอัจฉริยะได้ดังเช่นบุคคลต้นแบบ โทมัส อัลวา เอดิสัน เป็นบุคคลคนคนนั้น
มีคนเคยไปถาม โทมัส อัลวา เอดิสัน ว่า อัจฉริยะเกิดจากอะไร โทมัส อัลวา เอดิสัน ตอบว่า “ อัจฉริยะเกิดจากแรงบันดาลใจแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่เกิดจากความพยายาม 99 เปอร์เซ็นต์” จากคำตอบนี้หากเราได้อ่านประวัติของ โทมัส อัลวา เอดิสัน เราจะเห็นถึงความมานะ พยายาม ความขยัน ความอดทนในการทำงานของเขา เขาจะไม่ล้มเลิกง่ายๆ
ชีวิตคือการทดลอง โทมัส อัลวา เอดิสัน ได้ทุ่มเทให้กับเวลาทดลองเป็นอย่างยิ่ง เขาได้ใช้เวลาอย่างมากอยู่ในห้องทดลองและเมื่อออกมานอกห้องเขาก็จะทดลองทุกๆอย่างที่เขาสงสัยและอยากรู้ เขาจะลองผิดลองถูกและเฝ้ามองการทดลองนั้นด้วยตนเอง อีกทั้งเขายังเป็นคนที่ชอบบันทึกเรื่องราวต่างๆที่ได้จากการทดลอง จนกระทั่งเขาได้รับสิทธิบัตรกว่า 1,000 รายการ
นวัตกรรมนำหน้า ในการทำธุรกิจของเขา เขามักจะคิดนวัตกรรมใหม่ๆออกมาสู่ตลาดเสมอ เขาจะไม่หยุดคิด หยุดทดลอง อีกทั้งเขายังเคยพูดด้วยว่า “ วิธีที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำได้ ก็คือต้องทำการทดลอง ถ้าหยุดทดลองก็คือการเดินถอยหลัง” สตีฟ จอบส์ เองก็มีแนวคิดเรื่องนวัตกรรมไม่ต่างกัน เขาเคยพูดกับทีมงานของเขาว่า “ สิ่งที่เราต้องทำคือ การปฏิวัติวงการทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน สร้างโลกของเราขึ้นมา”
ชอบอ่าน โทมัส อัลวา เอดิสัน นับได้ว่าเป็นนักอ่านคนหนึ่ง ตอนเช้าเขาจะอ่านหนังสือพิมพ์ 2-3 ฉบับและช่วงบ่ายอีก 3-4 ฉบับ ส่วนใหญ่เป็นวารสาร หนังสือพิมพ์ในวงการประดิษฐ์ วงการวิทยาศาสตร์ที่เขากำลังทำงานอยู่ จึงทำให้เขามีความคิดที่จะผลิตสินค้าให้สนองตอบกับคนในยุคนั้น เพราะเขาเชื่อว่า คนเราจะอยู่ได้ เติบโตได้ก็ด้วยความรู้ใหม่ๆ
คิดต่าง จึงประสบความสำเร็จ สิ่งประดิษฐ์ของ โทมัส อัลวา เอดิสัน เกิดขึ้นจากการคิดต่าง เช่น หลอดไฟฟ้า เทคโนโลยีภาพเคลื่อนไหว เครื่องส่งสัญญาณโทรศัพท์ สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ถือได้ว่าช่วยทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ จากโลกที่มืดไม่มีไฟฟ้าใช้ กลับกลายเป็นส่องสว่างด้วยหลอดไฟฟ้าที่เขาประดิษฐ์ โลกสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นก็ด้วยเครื่องส่งสัญญาณโทรศัพท์ และโลกสามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวเก็บไว้ได้ก็ด้วยฝึกมืออย่างคนอย่างเขา
เมื่อเจอปัญหาต้องไม่หยุด ในการทดลองสิ่งประดิษฐ์เกือบทุกชนิดของเขา เขาต้องพบกับปัญหาแต่เขาไม่เคยหยุดหรือทิ้งกลางคัน ตรงกันข้ามกับบุคคลโดยทั่วไป เมื่อเจอปัญหาก็มักบ่น มักทิ้ง แล้วไม่ทำต่อไป แต่คนอย่าง โทมัส อัลวา เอดิสัน เขาไม่เคยหยุดเมื่อเจอกับปัญหาโดยเฉพาะสิ่งประดิษฐ์ชิ้นสำคัญของโลกอย่างหลอดไฟฟ้า ในการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า เขาต้องล้มเหลวนับเป็นพันๆครั้ง มีคนไปถามเขาว่าเขาไม่เสียใจหรือไม่ ที่พบกับความล้มเหลวเป็นพันๆครั้ง เขาตอบว่า “ เขาไม่ได้ล้มเหลวแต่เขากำลังได้วิธีการใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกพันวิธีต่างหาก” อีกทั้งเขาเป็นคนที่ไม่เคยหยุดยั้ง นักข่าวเคยตั้งคำถามว่า “ หากเขายังไม่สามารถผลิตหลอดไฟฟ้าสำเร็จเขาจะทำอย่างไร” โทมัส อัลวา เอดิสัน ตอบว่า “ ผมจะไม่เสียเวลามานั่งคุยอย่างนี้หรอก แต่ผมจะมุ่งหน้าคิดค้นวิธีการผลิตหลอดไฟฟ้าให้จงได้”
นี่คือวิธีคิด วิธีทำงานของ โทมัส อัลวา เอดิสัน ซึ่งทุกๆท่านสามารถนำเอาไปปฏิบัติได้ แล้วท่านจะประสบความสำเร็จอย่างอัจฉริยะคนนี้
#image_title
by drsuthichai | Nov 12, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
จดจ่อที่เป้าหมาย…ไม่ใช่จดจ่อที่อุปสรรค
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คุณจะเห็นอุปสรรค์เป็นสิ่งที่น่ากลัว…ถ้าคุณละทิ้งเป้าหมาย เป็นคำพูดของ เฮนรี่ ฟอร์ด
เป้าหมายที่ปราศจากแผนการ เป็นได้แค่ความฝัน…..
คนส่วนใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จในโลกนี้….ไม่รู้ว่าตนเองเกิดมาแล้วต้องการอะไร….ก็เนื่องมาจากการขาดเป้าหมายนั่นเอง…..เป้าหมายจึงเปรียบเสมือนทิศทางที่ทำให้เราเดินทางไปสู่ความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น…
หลายๆคนไม่ยอมบอกเป้าหมายของตนเองกับผู้อื่น….ก็เนื่องมาจากการขาดความมั่นใจในตนเอง บางคนอาย…แต่ตรงกันข้ามกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากมักเป็นคนที่ชอบบอกคนรอบข้างว่า….เขาต้องการอะไร…
จงกล้าบอกเป้าหมาย….แล้วท่านจะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่…..หากว่าท่านอยากเป็นนักเขียนระดับประเทศ….จงบอกคนรอบข้างของท่าน…..หากว่าท่านอยากมีเงินล้าน….จงบอกคนรอบข้างของท่าน….หากว่าท่านอยากเป็นทนายความ….จงบอกคนรอบข้างของท่าน…แล้วท่านจะได้สิ่งนั้น รวดเร็วยิ่งขึ้น..และหากว่าท่านอยากได้รถเก๋งใหม่สักคัน….จงบอกคนรอบข้างของท่าน…..สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็คือ คนส่วนมาก มักจะละทิ้งเป้าหมายที่ตนต้องการ…แต่การบอกคนรอบข้างจะทำให้คนรอบข้างของท่านคอยที่จะเตือน คอยที่จะย้ำ เป้าหมายของท่านอยู่ตลอดเวลา…
อยากให้เป้าหมายสำเร็จ…..ต้องไปสัมผัสกับของจริง….หลายคนมีเป้าหมาย อยากได้รถเก๋งใหม่….ถ้าท่านอยากได้จริงๆ ท่านลองไปสัมผัสกับรถเก๋งในฝันของท่านบ่อยๆ…ลองทดลองนั่ง….ลองทดลองขับ…หากท่านได้สัมผัสมันบ่อยๆ เป้าหมายนั้นก็จะเป็นจริงได้…
เป้าหมายจะสำเร็จได้ต้อง…ฝึกจินตนาการ….การฝึกจินตนาการถึงเป้าหมายบ่อยๆจะทำให้…ท่านเกิดความถี่ในการได้คิดถึงเป้าหมาย….เช่น การคิดการจินตนาการว่าท่านได้รถเก๋งคันนั้นแล้ว…ท่านกำลังขับ….ท่านกำลังอยู่ในรถเก๋งใหม่คันนั้น…..ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น….เราควรหาภาพรถเก๋งคันที่เราต้องการ…ติดไว้ข้างฝาบ้าน…ก็ยิ่งจะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็ว…
เป้าหมายจะสำเร็จได้….ต้องลงมือทำ…..เมื่อคิดแล้ว เมื่อพูดแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด….จงลงมือทำ…..ลองเอากระดาษ ปากกาหรือดินสอ มาวาด มาเขียน ดูว่า เราจะมีวิธีการหาเงินมาจากไหนเพื่อซื้อรถเก๋งในฝันของเรา….เช่น หารายได้จากการเขียนหนังสือ…..หารายได้จากการขายประกันชีวิต….หารายได้จากการขายสินค้าต่างๆ….หารายได้จากการทำธุรกิจเครือข่าย….ฯลฯ
เป้าหมายจะเคลื่อนไปข้างหน้าได้….ท่านจะต้องกระตือรือร้น….จงเดินอย่างคนกระตือรือร้น….จงพูดอย่างคนกระตือรือร้น….จงทำตัวอย่างคนกระตือรือร้น…..จงขายอย่างคนกระตือรือร้น….แล้วเราก็จะเคลื่อนตัวไปสู่เป้าหมาย….
เป้าหมายดี…ต้องหมั่นบำรุง….จึงจะประสบความสำเร็จ….จงให้กำลังใจตนเอง…จงลุกขึ้นพูด “ ฉันทำได้”, “ ฉันสุดยอด” , “ ฉันยอดเยี่ยม” …ปลุกพลังด้วยคำพูดกับตัวเองบ่อยๆ
เป้าหมายต้องเขียนบ่อยๆ…การเขียนเป้าหมายบ่อยๆ…จะทำให้เรา…เกิดความตั้งใจที่จะทำตามเป้าหมายยิ่งขึ้น…จงเขียนเป้าหมาย….จงเขียนแผนการไปสู่เป้าหมาย…จงเขียนระยะเวลาที่จะเดินทางไปสู่เป้าหมาย….จงเขียนขั้นตอนต่างๆที่จะทำให้เป้าหมายประสบความสำเร็จ…..
เป้าหมายยิ่งใหญ่….ท่านยิ่งต้องพัฒนาตนเอง….พัฒนาทั้งการอ่าน การฟัง การพูด การกระทำ การขาย การนำเสนอ….ยิ่งท่านพัฒนาตนเองได้มากเท่าไร….เป้าหมายที่ท่านดูว่ายิ่งใหญ่…ก็จะเป็นเพียงเป้าหมายหมายที่เล็กน้อน….เท่านั้น
เมื่อได้…อ่านมาถึงนี้แล้ว…ผมอยากถามว่า….คุณมีเป้าหมายหรือยัง….คุณค้นพบเป้าหมายตัวเองหรือยัง….เพราะถ้าคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจน…ชีวิตของคุณก็จะมีความตื่นเต้น…ชีวิตของคุณก็จะมีพลังขับเคลื่อน….ชีวิตของคุณก็จะมีพลังมีความหวัง….ถ้าคุณยังไม่มี….จงเขียนมันขึ้นมา….ตอนนี้….ขอให้คุณประสบความสำเร็จ ตามเป้าหมายที่คุณวางเอาไว้ขอให้ทุกๆท่านโชคดี
#image_title
by drsuthichai | Nov 12, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
ข้อผิดพลาดทางการตลาด
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ศาสตร์ทางด้านการตลาดเป็นศาสตร์ที่ต้องมีการยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหว ไม่อยู่นิ่ง หลักการบางอย่างปฏิบัติหรือใช้ในอดีตได้ผล แต่เมื่อนำมาใช้ในปัจจุบันอาจไม่ได้ผลหรือไม่ประสบความสำเร็จ
นักการตลาดที่ดีจึงต้องเป็นนักยืดหยุ่น นักปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
– อย่ายึดติดกับความสำเร็จในอดีต เฮนรี่ ฟอร์ด ได้นำเสนอรถยนต์ฟอร์ด รุ่น T สู่ตลาดใน
ระหว่างปี 1909 ปรากฏขายได้ดีมาก โดยช่วงแรกขายในราคาคันละ 850 เหรียญ และมีเพียงสีเดียวเท่านั้นคือสีดำ ซึ่งรถยนต์ฟอร์ด รุ่น T เป็นที่ต้องการของตลาดมากเวลานั้น จึงทำให้รถยนต์ฟอร์ดยึดครองตลาดรถใหม่ที่ขายในประเทศสหรัฐ เป็นจำนวนเกินครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว จึงทำให้บริษัทฟอร์ดเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ใหม่เป็นเวลานานถึง 17 ปี จนกระทั่งถึงปี 1926 ตลาดรถยนต์ตกต่ำมาก จึงทำให้บริษัทฟอร์ด ลดราคารถยนต์ฟอร์ด รุ่น T เหลือคันละ 263 เหรียญ ซึ่งในขณะนั้น เฮนรี่ ฟอร์ด ก็ยังคงใช้นโยบายเดิมกับบริษัทฟอร์ดว่า “ เราจะผลิตรถยนต์เพียงสีเดียวคือสีดำเท่านั้น” อีกทั้ง เฮนรี่ ฟอร์ด ยังคงเดินหน้าผลิตรถยนต์ รุ่น T อีกเป็นจำนวนมาก เพื่อให้รถยนต์ รุ่น T ถูกลง การไม่ปรับตัว การไม่เปลี่ยนแปลง และยึดติดกับความสำเร็จในอดีต จึงทำให้สูญเสียความเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ในเวลาต่อมา
จี-เอ็ม มีการปรับตัวต่อความต้องการของตลาดรถยนต์ใหม่ดีกว่า ช่วงทศวรรษ 1920 คนอเมริกาต้องการรถยนต์ที่มีลักษณะหรูหรามากขึ้น อีกทั้งแต่ละคนก็มีความต้องการสีของรถยนต์ที่แตกต่างกันไป จี-เอ็มจึงได้ผลิตรถยนต์ เชฟโรเลท ซึ่งมีลักษณะหรูหรา น่าขับ มีให้เลือกหลากหลายสี มีความทันสมัย ปลอดภัย ผลก็คือ จี-เอ็ม กลับกลายเป็นผู้นำตลาดรถยนต์แทน ฟอร์ด
ถึงแม้ในช่วงเวลาต่อมา บริษัทฟอร์ด ได้มีการปรับตัวแต่ก็เพียงเล็กน้อย โดยจัดให้รถยนต์ฟอร์ด รุ่น T มีสีให้เลือกมากขึ้น มีการใส่บังโคลน เพิ่มกระจกหน้าลาดเอียง แต่ยอดขายก็คงยังลดลง ลดลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุด บริษัทฟอร์ดตัดสินใจหยุดการผลิตรถยนต์ จึงทำให้คนงานบริษัทฟอร์ดสมัยนั้นตกงานเป็นจำนวนหลายหมื่นคน
จากนั้นในเวลาต่อมา บริษัทฟอร์ด ได้ตัดสินใจส่งสินค้าตัวใหม่ออกสู่ตลาดคือรถยนต์ฟอร์ด รุ่น A ซึ่งบริษัทฟอร์ดต้องลงทุนอีกเป็นจำนวน 100 ล้านเหรียญ แล้วเริ่มขยายตลาดมากขึ้น มีคนซื้อใช้มากขึ้น จากการสูญเสียความเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ให้กับจี-เอ็มในครั้งนั้น ทำให้บริษัทฟอร์ดกว่าจะเรียกความศรัทธาจากผู้บริโภคและศรัทธาจากสายตาคนอเมริกามาได้ต้องใช้เวลา นี่คือบทเรียนสำคัญในการยึดติดกับความสำเร็จในอดีต
– “ทำไมถึงไม่มีร้านขายแฮมเบเกอร์แบบ แม็คโดนัล อีกสักแห่ง” เบเกอร์ เชฟ คือกรณีศึกษาของ
การขยายตลาดที่รวดเร็วมากจนเกินไป ปี 1967 บริษัทเจเนอรัล ฟูดส์ ได้ใช้เงินจำนวน 16 ล้านเหรียญ ซื้อระบบร้านแฟรนไช้ส์ของ เบเกอร์ เชฟ ซึ่งในขณะนั้นเบเกอร์ เชฟ มีสาขาถึง 700 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา และในปี 1969 เดือนมีนาคม บริษัทได้ตัดสินใจขยายสาขาเบเกอร์ เชฟ อีกเป็นจำนวนถึง 900 สาขา และในปีเดียวกันคือปี 1969 เดือนธันวาคม บริษัทได้ตัดสินใจขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีกเป็น 1,022 สาขาและอีก 29 สาขาในประเทศแคนาดา ต่อจากนั้นอีก 1 ปี บริษัทได้ขยายสาขาเพิ่มเป็น 1,200 สาขา และ 36 สาขาในประเทศแคนาดา จากการเติบโตอย่างรวดเร็วเพียงแค่ 3 ปี เบเกอร์ เชฟ ขยายสาขาเพิ่มขึ้นถึงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ทำให้บริษัทการบริหารงานได้ยุ่งยากและซับซ้อน อีกทั้งทำให้บริษัทประสบกับภาวะขาดทุนและถดถอยในเวลาต่อมา เงินที่ลงทุนไป 16 ล้านเหรียญ กลายเป็นหนี้สิน การขยายสาขามากๆแทนที่จะสร้างผลกำไรกลับการเป็นการเพิ่มการขาดทุนมากยิ่งขึ้น เบเกอร์ เชฟ จึงเป็นกรณีศึกษาที่เรียกว่า “แจ้งเกิดเร็ว ตายเร็ว” ซึ่งแตกต่างกับระบบร้านแฟรนไช้ส์แม็คโดนัล ของเรย์ คร้อก และระบบร้านแฟรนไช้ส์ของ KFC ของผู้พัน ฮาแลนด์ แซนเดอร์ ที่ค่อยๆขยายตลาดออกไปตามกำลังความสามารถที่ตนเองสามารถดูแลได้
– ผลิตภัณฑ์ต้องสอดคล้องกับตลาดอย่างแท้จริง บริษัทโค้ก เป็นผู้นำตลาดน้ำดำของโลก แต่ก็
ใช่ไม่มีข้อผิดพลาดทางการตลาดเลย ข้อผิดพลาดของบริษัทโค้ก ที่มีการกล่าวถึงกันอยู่บ่อยๆและมีการกล่าวขวัญเป็นอันดับต้นๆของโลก ก็คือ การออกผลิตภัณฑ์ “นิวโค้ก” เป็นการเปลี่ยนแปลงสูตรของโคคา-โคล่า(รสชาติใหม่)โดยมีการวางขายเมื่อ พ.ศ.2528 แทน “โค้ก” แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะ นิวโค้ก ไม่ได้สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนออกมาให้เห็น อีกทั้ง โคลา-โคล่า หรือ โค้ก ยังคงเป็นที่พอใจและเป็นที่ชื่นชอบของตลาดโลกในระดับที่สูงที่สุดอยู่แล้ว จนกระทั่ง ปี 2535 จึงได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ “โคลา-โคล่า 2”
ฉะนั้น จาก 3 กรณีศึกษาข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า บริษัทฟอร์ดในยุคแรกๆเป็นผู้บุกเบิก
นวัตกรรมใหม่ๆให้แก่ตลาดรถยนต์ ซึ่งบริษัทได้ผลิตรถรุ่น T และสีดำ ขึ้นมา แต่เนื่องจากบริษัทฟอร์ดได้ละเลยการคิดค้นหรือการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาต่อยอดกับรถยนต์ฟอร์ดรุ่น T จึงทำให้สูญเสียความเป็นผู้นำทางการตลาด เพราะความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป แต่บริษัทฟอร์ดก็ยังยืนยันที่จะผลิตภัณฑ์รถยนต์รุ่น T และสีดำ ความไม่ยืดหยุ่น ความไม่เปลี่ยนแปลง นี่เองจึงนำไปสู่ความทดถอยและพ่ายแพ้ทางการตลาดในเวลาต่อมา
กรณีศึกษาของ เบเกอร์ เชฟ ทำให้เห็นได้ว่า การโตไว การขยายสาขาไว จนดูแลไม่ไหว เป็นสาเหตุของความล้มเหลวทางด้านการตลาด
กรณีศึกษา “นิว โค้ก” เป็นการออกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีความสอดคล้องกับความต้องของตลาดอีกทั้งยังไม่สามารถทำให้ลูกค้าหรือผู้บริโภคเห็นถึงความแตกต่างของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์
ดังนั้น การไม่เปลี่ยนแปลงก็ไม่ดี การขยายตัวโตเร็วเกินไปและการผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการตลาด จึงถือว่าเป็นอันตรายทั้งสิ้น
ทางที่ดีที่สุดก็คือ ไม่ควรอยู่นิ่งหรือไม่เปลี่ยนแปลงนานจนเกินไป เพราะสภาพแวดล้อมทางการตลาดย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บางครั้งอาจที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและบางครั้งก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ช้าๆ ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง หรือไม่ควรขยายตลาดให้เร็วมากเกินไปจนเกินกำลังเกินความสามารถของตนเองและควรเลือกผลิตภัณฑ์ ควรออกสินค้าให้ตรงกับจังหวะเวลา อีกทั้งต้องแสดงให้ลูกค้าเห็นถึงความแตกต่างระหว่างสินค้าที่มีอยู่เดิมแล้วกับสินค้าที่ออกมาใหม่
#image_title
by drsuthichai | Nov 12, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
ปัญญามีมาก…แต่ใจเท่า…หัวไม้ขีดไฟ.
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
..
ในชั่วเวลาหนึ่งของชีวิตของผม ผมได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับบุคคลหลากหลายประเภท เช่น นักธุรกิจบ้าง นักการเมืองบ้าง นักเขียนบ้าง ข้าราชการบ้าง ฯลฯ ซึ่งบุคคลเหล่านั้นมีทั้งบุคคลที่ประสบความสำเร็จและบุคคลที่ล้มเหลว
ทำให้เห็นความแตกต่าง
บางคนมีปัญญามาก….แต่ใจเท่าหัวไม้ขีดไฟ….กล่าวคือ เป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ มีความคิดดีมาก แต่ขาดซึ่งความกล้าหาญในการทำงานใหญ่…
บางคนเป็นคนมีเป้าหมายในชีวิต…แต่เป็นคนที่เดินแบบครึ่งๆกลางๆ แล้วหยุด ไม่ยอมเดินหน้าต่อไป เพื่อให้ถึงเป้าหมาย….
บางคนเจออุปสรรคนิดเดียว เจอปัญหานิดเดียว…ถึงกับถอดใจไม่ยอมทำงาน
ถ้าหากว่าจะให้ผมเลือกระหว่าง “ ปัญญา กับ ใจ ” ผมขอเลือกใจ
เพราะ ใจมีความสำคัญมากๆ ต่อความสำเร็จ เพราะถ้าหากเรามีปัญญาน้อยกว่าคู่แข่ง แต่ใจเราสู้ไม่ถอย เราก็สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ แต่ในทางกลับกัน บางคนมีปัญญามาก แต่ใจเท่าหัวไม้ขีดไฟ เมื่อเจอกับอุปสรรค เขาก็มักจะถอดใจกลัว ไม่กล้า เมื่อเจอกับปัญหานิดหน่อย เขาถึงกับต้องเป็นกังวล ทำให้ชีวิตเกิดความวิตกกังวลตลอดเวลา จนบางคนต้องกินยาแก้ปวดทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร
ดูอย่างคนที่ประสบความสำเร็จต่างๆในแวดวงธุรกิจซิ แล้วคุณจะเห็นว่า เขามีใจที่ยิ่งใหญ่ดังทะเล เจ็บเป็นเจ็บ เจ๊งเป็นเจ๊ง ตายเป็นตาย ใจถึง ใจสู้ไม่ถอย ดังเช่น
– โดนัลด์ เจ ทรัมพ์ นักธุรกิจใหญ่ของสหรัฐ ดำเนินธุรกิจจนร่ำรวยมหาศาล เมื่อถึงคราวที่จะล้มละลาย ก็ยังมี
ใจที่สู้ไม่ถอย มีความอดทน จนกระทั่งธุรกิจของเขากลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม ก็เพราะเขามีใจที่ยิ่งใหญ่ กล้าเสี่ยง กล้าที่จะต่อสู้กับเหตุการณ์ร้ายๆ
– ริชาร์ด แบรนสัน นักธุรกิจใหญ่ชาวอังกฤษ เจ้าของชื่อการค้า “เวอร์จิ้น” มีธุรกิจกว่า 360 บริษัท เขาทำธุรกิจ
ตั้งแต่อายุ 15 ปี เริ่มทำนิตยสารตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียนนักศึกษา แล้วขยายธุรกิจไปเรื่อยๆ เขาชอบผจญภัยและสร้างสถิติโลก เช่น ทำลายสถิติการขับเรือเร็วข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก , ทำลายสถิติการเดินทางด้วยบัลลูนข้ามมหาสมุทรแอตแนติก เป็นต้น
– ตัน ภาสกรนที หรือ ตัน โออิชิ จบชั้นมัธยมปีที่ 3 เริ่มทำงานโดยการแบกของ ค่าจ้างประมาณ 700 บาท แล้ว
จึงเริ่มลงทุนทำธุรกิจแผงหนังสือที่จังหวัดชลบุรี หลังจากนั้นมีการขยายธุรกิจซื้อตึกแถวต่างๆ จนเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต่อมาได้ขยายธุรกิจไปยังการสร้างภัตตาคารอาหารญี่ปุ่น ชื่อ โออิชิ และขยายไปยังธุรกิจเครื่องดื่ม ชาเขียวโออิชิ
บุคคลทั้งสามนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการมีใจที่ยิ่งใหญ่ในการทำธุรกิจ และถ้าหากเป็นคุณถ้าให้เลือกระหว่างการมีปัญญา กับ ใจ คุณจะเลือกอะไร
#image_title