การกระทำของจำเลยจึงยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21627/2556 จำเลยเป็นผู้พิมพ์หนังสือร้องเรียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เรื่องอุทธรณ์คำสั่งบรรจุแต่งตั้งผู้ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าทำงาน แม้ข้อความโดยรวมเป็นการกล่าวหาผู้เสียหายซึ่งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ้านโตนดและเป็นผู้บริหารสูงสุดของเทศบาลตำบลบ้านโตนดว่ารับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเป็นพนักงานเทศบาลไม่โปร่งใส เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบแสวงหาผลประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นซึ่งไม่เป็นความจริง อันเป็นการใส่ความผู้เสียหายก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำต่อบุคคลที่สาม กลับได้ความเพียงว่า ก. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของเทศบาลตำบลบ้านโตนดไปพบหนังสือร้องเรียนดังกล่าวที่หน้าคอมพิวเตอร์ห้องงานคลังด้วยตนเอง โดยจำเลยมิได้นำออกมาแสดงต่อ ก. เพื่อให้ทราบข้อความในเอกสารนั้น ส่วน ศ. พนักงานขับรถของผู้เสียหายก็เพียงแต่สงสัยว่าจำเลยจะเป็นผู้พิมพ์หนังสือร้องเรียนดังกล่าวเท่านั้น ทั้งจำเลยยังไม่ได้ส่งเอกสารดังกล่าวไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยทราบ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 มาตรา ๓๒๖ ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

การกระทำของจำเลยจึงยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21627/2556 จำเลยเป็นผู้พิมพ์หนังสือร้องเรียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เรื่องอุทธรณ์คำสั่งบรรจุแต่งตั้งผู้ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าทำงาน แม้ข้อความโดยรวมเป็นการกล่าวหาผู้เสียหายซึ่งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ้านโตนดและเป็นผู้บริหารสูงสุดของเทศบาลตำบลบ้านโตนดว่ารับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเป็นพนักงานเทศบาลไม่โปร่งใส เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบแสวงหาผลประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นซึ่งไม่เป็นความจริง อันเป็นการใส่ความผู้เสียหายก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำต่อบุคคลที่สาม กลับได้ความเพียงว่า ก. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของเทศบาลตำบลบ้านโตนดไปพบหนังสือร้องเรียนดังกล่าวที่หน้าคอมพิวเตอร์ห้องงานคลังด้วยตนเอง โดยจำเลยมิได้นำออกมาแสดงต่อ ก. เพื่อให้ทราบข้อความในเอกสารนั้น ส่วน ศ. พนักงานขับรถของผู้เสียหายก็เพียงแต่สงสัยว่าจำเลยจะเป็นผู้พิมพ์หนังสือร้องเรียนดังกล่าวเท่านั้น ทั้งจำเลยยังไม่ได้ส่งเอกสารดังกล่าวไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยทราบ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 มาตรา ๓๒๖ ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 

การกระทำของจำเลยจึงยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21627/2556

จำเลยเป็นผู้พิมพ์หนังสือร้องเรียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เรื่องอุทธรณ์คำสั่งบรรจุแต่งตั้งผู้ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าทำงาน แม้ข้อความโดยรวมเป็นการกล่าวหาผู้เสียหายซึ่งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ้านโตนดและเป็นผู้บริหารสูงสุดของเทศบาลตำบลบ้านโตนดว่ารับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเป็นพนักงานเทศบาลไม่โปร่งใส เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบแสวงหาผลประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นซึ่งไม่เป็นความจริง อันเป็นการใส่ความผู้เสียหายก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำต่อบุคคลที่สาม กลับได้ความเพียงว่า ก. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของเทศบาลตำบลบ้านโตนดไปพบหนังสือร้องเรียนดังกล่าวที่หน้าคอมพิวเตอร์ห้องงานคลังด้วยตนเอง โดยจำเลยมิได้นำออกมาแสดงต่อ ก. เพื่อให้ทราบข้อความในเอกสารนั้น ส่วน ศ. พนักงานขับรถของผู้เสียหายก็เพียงแต่สงสัยว่าจำเลยจะเป็นผู้พิมพ์หนังสือร้องเรียนดังกล่าวเท่านั้น ทั้งจำเลยยังไม่ได้ส่งเอกสารดังกล่าวไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยทราบ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326

มาตรา ๓๒๖ ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

ข้อความที่จำเลยกล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่วๆไป มิใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1064/2531 ข้อความที่กล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่ว ๆ ไปเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าข้อความที่กล่าวนั้นถึงขั้นที่ทำให้ผู้ถูกหมิ่นประมาทน่าจะเสียชื่อเสียง ถูกบุคคลอื่นดูหมิ่นเกลียดชังหรือไม่ ไม่ใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียวการที่จำเลยเบิกความเป็นพยานไปตามที่ทนายความซักถามว่า โจทก์ไม่ค่อยทำหน้าที่ธนาคารได้ลงโทษตัดเงินเดือนโจทก์ 10 เปอร์เซ็นต์ ฐานไม่ค่อยมาทำงาน ซึ่งโจทก์ก็รับว่าเป็นความจริงเพียงแต่เลี่ยงไปว่าถูกลงโทษฐานออกไปนอกสถานที่นั้น จำเลยมีเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการพิจารณาคดี มิได้มีเจตนาที่จะกลั่นแกล้งใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์เป็นหัวหน้าแผนกประจำธนาคารนั้น โจทก์จะมีตำแหน่งที่แท้จริงเป็นหัวหน้าแผนกประจำกองหรือหัวหน้าแผนกประจำธนาคาร วิญญูชนทั่วไปได้ยินได้ฟังแล้วหามีความเข้าใจในข้อแตกต่างของความหมายแห่งถ้อยคำของตำแหน่งหน้าที่ทั้งสองไม่ ผู้ได้ยินได้ฟังก็ไม่ถือหรือเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนไม่ดีอันเป็นการใส่ความ คำเบิกความของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท. #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

ข้อความที่จำเลยกล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่วๆไป มิใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1064/2531 ข้อความที่กล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่ว ๆ ไปเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าข้อความที่กล่าวนั้นถึงขั้นที่ทำให้ผู้ถูกหมิ่นประมาทน่าจะเสียชื่อเสียง ถูกบุคคลอื่นดูหมิ่นเกลียดชังหรือไม่ ไม่ใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียวการที่จำเลยเบิกความเป็นพยานไปตามที่ทนายความซักถามว่า โจทก์ไม่ค่อยทำหน้าที่ธนาคารได้ลงโทษตัดเงินเดือนโจทก์ 10 เปอร์เซ็นต์ ฐานไม่ค่อยมาทำงาน ซึ่งโจทก์ก็รับว่าเป็นความจริงเพียงแต่เลี่ยงไปว่าถูกลงโทษฐานออกไปนอกสถานที่นั้น จำเลยมีเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการพิจารณาคดี มิได้มีเจตนาที่จะกลั่นแกล้งใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์เป็นหัวหน้าแผนกประจำธนาคารนั้น โจทก์จะมีตำแหน่งที่แท้จริงเป็นหัวหน้าแผนกประจำกองหรือหัวหน้าแผนกประจำธนาคาร วิญญูชนทั่วไปได้ยินได้ฟังแล้วหามีความเข้าใจในข้อแตกต่างของความหมายแห่งถ้อยคำของตำแหน่งหน้าที่ทั้งสองไม่ ผู้ได้ยินได้ฟังก็ไม่ถือหรือเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนไม่ดีอันเป็นการใส่ความ คำเบิกความของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท. #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

ข้อความที่จำเลยกล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่วๆไป มิใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1064/2531

ข้อความที่กล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่ว ๆ ไปเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าข้อความที่กล่าวนั้นถึงขั้นที่ทำให้ผู้ถูกหมิ่นประมาทน่าจะเสียชื่อเสียง ถูกบุคคลอื่นดูหมิ่นเกลียดชังหรือไม่ ไม่ใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียวการที่จำเลยเบิกความเป็นพยานไปตามที่ทนายความซักถามว่า โจทก์ไม่ค่อยทำหน้าที่ธนาคารได้ลงโทษตัดเงินเดือนโจทก์ 10 เปอร์เซ็นต์ ฐานไม่ค่อยมาทำงาน ซึ่งโจทก์ก็รับว่าเป็นความจริงเพียงแต่เลี่ยงไปว่าถูกลงโทษฐานออกไปนอกสถานที่นั้น จำเลยมีเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการพิจารณาคดี มิได้มีเจตนาที่จะกลั่นแกล้งใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์เป็นหัวหน้าแผนกประจำธนาคารนั้น โจทก์จะมีตำแหน่งที่แท้จริงเป็นหัวหน้าแผนกประจำกองหรือหัวหน้าแผนกประจำธนาคาร วิญญูชนทั่วไปได้ยินได้ฟังแล้วหามีความเข้าใจในข้อแตกต่างของความหมายแห่งถ้อยคำของตำแหน่งหน้าที่ทั้งสองไม่ ผู้ได้ยินได้ฟังก็ไม่ถือหรือเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนไม่ดีอันเป็นการใส่ความ คำเบิกความของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท.

#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

จำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลไป ไม่ได้ลักทรัพย์หรือวิ่งราวทรัพย์ แต่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์  คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2568 จำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ยังไม่ได้ตรวจไปจากมือของโจทก์ร่วมโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ต่อมาโจทก์ร่วมก็ยินยอมปล่อยให้จำเลยนำสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจได้โดยจำเลยไม่ได้หลบหนี พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่เอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจรางวัลให้แก่โจทก์ร่วมจึงเป็นการถือวิสาสะเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการลักสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปโดยการฉกฉวยเอาซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน หรือความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง  การที่จำเลยได้รับสลากกินแบ่งรัฐบาลจากโจทก์ร่วมไปครอบครองแล้วจำเลยกลับเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไป เมื่อโจทก์ร่วมทวงถามก็ไม่ยอมคืนให้แก่โจทก์ร่วมโดยปราศจากเหตุผลอันจะอ้างตามกฎหมายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการครอบครองสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมแล้วเบียดบังเอาเป็นของตนเองหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคหนึ่ง  คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปในเวลากลางคืนโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ และยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 335, 336, 352 คือการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตเช่นเดียวกัน คงแตกต่างกันเพียงเรื่องการเอาทรัพย์นั้นไปโดยวิธีการใดเท่านั้น ดังนั้น ข้อแตกต่างระหว่างความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์และฐานยักยอกทรัพย์จึงถือได้ว่ามิได้แตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งคดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปไม่ได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

จำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลไป ไม่ได้ลักทรัพย์หรือวิ่งราวทรัพย์ แต่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2568 จำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ยังไม่ได้ตรวจไปจากมือของโจทก์ร่วมโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ต่อมาโจทก์ร่วมก็ยินยอมปล่อยให้จำเลยนำสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจได้โดยจำเลยไม่ได้หลบหนี พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่เอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจรางวัลให้แก่โจทก์ร่วมจึงเป็นการถือวิสาสะเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการลักสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปโดยการฉกฉวยเอาซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน หรือความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง การที่จำเลยได้รับสลากกินแบ่งรัฐบาลจากโจทก์ร่วมไปครอบครองแล้วจำเลยกลับเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไป เมื่อโจทก์ร่วมทวงถามก็ไม่ยอมคืนให้แก่โจทก์ร่วมโดยปราศจากเหตุผลอันจะอ้างตามกฎหมายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการครอบครองสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมแล้วเบียดบังเอาเป็นของตนเองหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคหนึ่ง คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปในเวลากลางคืนโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ และยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 335, 336, 352 คือการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตเช่นเดียวกัน คงแตกต่างกันเพียงเรื่องการเอาทรัพย์นั้นไปโดยวิธีการใดเท่านั้น ดังนั้น ข้อแตกต่างระหว่างความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์และฐานยักยอกทรัพย์จึงถือได้ว่ามิได้แตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งคดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปไม่ได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

จำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลไป ไม่ได้ลักทรัพย์หรือวิ่งราวทรัพย์ แต่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2568

จำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ยังไม่ได้ตรวจไปจากมือของโจทก์ร่วมโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ต่อมาโจทก์ร่วมก็ยินยอมปล่อยให้จำเลยนำสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจได้โดยจำเลยไม่ได้หลบหนี พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่เอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจรางวัลให้แก่โจทก์ร่วมจึงเป็นการถือวิสาสะเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการลักสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปโดยการฉกฉวยเอาซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน หรือความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง

 

การที่จำเลยได้รับสลากกินแบ่งรัฐบาลจากโจทก์ร่วมไปครอบครองแล้วจำเลยกลับเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไป เมื่อโจทก์ร่วมทวงถามก็ไม่ยอมคืนให้แก่โจทก์ร่วมโดยปราศจากเหตุผลอันจะอ้างตามกฎหมายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการครอบครองสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมแล้วเบียดบังเอาเป็นของตนเองหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคหนึ่ง

 

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปในเวลากลางคืนโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ และยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 335, 336, 352 คือการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตเช่นเดียวกัน คงแตกต่างกันเพียงเรื่องการเอาทรัพย์นั้นไปโดยวิธีการใดเท่านั้น ดังนั้น ข้อแตกต่างระหว่างความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์และฐานยักยอกทรัพย์จึงถือได้ว่ามิได้แตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งคดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปไม่ได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม

#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนากระทำความผิดฐานคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9285/2556เมื่อจำเลยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายพ้นวัยผู้เยาว์ โดยเข้าใจว่าผู้เสียหายมีอายุเกินกว่า 18 ปี แล้ว จึงเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเรื่องอายุอันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคแรก การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนากระทำความผิดฐานดังกล่าวตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสามป.อ.มาตรา 318 อาญา”ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาทป.อ.มาตรา ๕๙ วรรค ๓               ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้               #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนากระทำความผิดฐานคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9285/2556เมื่อจำเลยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายพ้นวัยผู้เยาว์ โดยเข้าใจว่าผู้เสียหายมีอายุเกินกว่า 18 ปี แล้ว จึงเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเรื่องอายุอันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคแรก การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนากระทำความผิดฐานดังกล่าวตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสามป.อ.มาตรา 318 อาญา”ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาทป.อ.มาตรา ๕๙ วรรค ๓ ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้ #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนากระทำความผิดฐาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9285/2556
เมื่อจำเลยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายพ้นวัยผู้เยาว์ โดยเข้าใจว่าผู้เสียหายมีอายุเกินกว่า 18 ปี แล้ว จึงเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเรื่องอายุอันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคแรก การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนากระทำความผิดฐานดังกล่าวตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสาม

ป.อ.มาตรา 318 อาญา”
ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท
ป.อ.มาตรา ๕๙ วรรค ๓
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

จำเลยเอาไม้ที่ปูพื้นเรือนของโจทก์ร่วม 8 แผ่น ไปปูบนร่องสวนเพื่อใช้จัดงานศพชั่วคราว มิได้มีเจตนาเอาไปเลย ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2521 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำคุกจำเลย 1 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำเลยฎีกา  ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “บ้านหลังนี้เก่ามีสภาพชำรุดทรุดโทรมปลูกอยู่ในสวน ฝาขัดแตะ เสาไม้จริงผุกร่อนแทบทุกต้น ดังปรากฏตามภาพถ่ายหลังคามุงจาก พื้นกระดาน จำเลยเช่าอยู่อาศัยมากว่า 30 ปี โจทก์ให้จำเลยออกไปภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2519 ก่อนถึงกำหนดจำเลยได้รื้อเอาไม้พื้นกระดานไป 8 แผ่น เมื่อโจทก์ร่วมมาตรวจพบเข้าและไปแจ้งตำรวจ จำเลยก็นำกลับมาคืนให้ตามเดิม แต่ทั้งสองฝ่ายยังโต้เถียงกันอยู่ โดยโจทก์ร่วมอ้างว่าไม่ใช่ไม้ของเดิม แต่ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งศาลไปเดินเผชิญสืบว่าไม้ที่จำเลยคืนและไม้กระดานพื้นบ้านของโจทก์เป็นไม้ชนิดเดียวกันมีสภาพเก่าเหมือนกัน แม้บางแผ่นจะสั้นกว่ากันเล็กน้อย ก็เหมือนกับที่ห้องด้านหน้าเชื่อว่าไม้ที่จำเลยนำมาคืนเป็นไม้กระดานแผ่นเดิมมิได้เปลี่ยนไม้อื่นมาให้ โจทก์มิได้ฎีกาในข้อนี้ จึงมีปัญหาต่อไปที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่าจำเลยมีเจตนาลักทรัพย์รายนี้หรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยเอาไม้ยางมาปูแทนไม้แดงจึงมีเจตนาทุจริต ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อเกิดเรื่องขึ้น จ่าสิบตำรวจจรัสได้ไกลเกลี่ยจำเลยก็ยอมคืนไม้ให้โจทก์ร่วมแต่โดยดี ทั้งสองครั้งที่จำเลยเอาไม้ไปให้โจทก์ร่วมก็ยังคงยืนยันว่าไม่ใช่ไม้ของเดิมอยู่นั่นเองแสดงให้เห็นว่ามีความอาฆาตโกรธเคืองจำเลยอยู่ ระหว่างนั้นคือเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2519 ก่อนครบกำหนดวันที่โจทก์ผ่อนผันให้จำเลยอยู่ บิดาของจำเลยได้ถึงแก่กรรมที่บ้านพี่ชายซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน จำเลยว่าจึงมีความจำเป็นต้องเอาไม้กระดานไปปูบนร่องสวนเพื่อจัดงานศพ เพราะหาที่อื่นไม่ได้ ทั้งที่บ้านพี่ชายหลังเล็กไม่พอจัดงานและรับแขก เมื่อร้อยตำรวจโทพินัยสอบถามจำเลยก็ให้การดังนั้นมาแต่ต้น จึงน่าเชื่อว่าจำเลยได้เอาไม้กระดานของโจทก์ร่วมไปใช้แต่เพียงชั่วคราว มิได้เจตนาเอาไปเลยดังที่จำเลยฎีกาพยานจำเลยซึ่งเป็นญาติของทั้งสองฝ่ายก็เบิกความในทำนองนี้ รูปคดียังเป็นที่สงสัยอยู่ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่ ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย”  พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

จำเลยเอาไม้ที่ปูพื้นเรือนของโจทก์ร่วม 8 แผ่น ไปปูบนร่องสวนเพื่อใช้จัดงานศพชั่วคราว มิได้มีเจตนาเอาไปเลย ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2521 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำคุกจำเลย 1 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “บ้านหลังนี้เก่ามีสภาพชำรุดทรุดโทรมปลูกอยู่ในสวน ฝาขัดแตะ เสาไม้จริงผุกร่อนแทบทุกต้น ดังปรากฏตามภาพถ่ายหลังคามุงจาก พื้นกระดาน จำเลยเช่าอยู่อาศัยมากว่า 30 ปี โจทก์ให้จำเลยออกไปภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2519 ก่อนถึงกำหนดจำเลยได้รื้อเอาไม้พื้นกระดานไป 8 แผ่น เมื่อโจทก์ร่วมมาตรวจพบเข้าและไปแจ้งตำรวจ จำเลยก็นำกลับมาคืนให้ตามเดิม แต่ทั้งสองฝ่ายยังโต้เถียงกันอยู่ โดยโจทก์ร่วมอ้างว่าไม่ใช่ไม้ของเดิม แต่ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งศาลไปเดินเผชิญสืบว่าไม้ที่จำเลยคืนและไม้กระดานพื้นบ้านของโจทก์เป็นไม้ชนิดเดียวกันมีสภาพเก่าเหมือนกัน แม้บางแผ่นจะสั้นกว่ากันเล็กน้อย ก็เหมือนกับที่ห้องด้านหน้าเชื่อว่าไม้ที่จำเลยนำมาคืนเป็นไม้กระดานแผ่นเดิมมิได้เปลี่ยนไม้อื่นมาให้ โจทก์มิได้ฎีกาในข้อนี้ จึงมีปัญหาต่อไปที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่าจำเลยมีเจตนาลักทรัพย์รายนี้หรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยเอาไม้ยางมาปูแทนไม้แดงจึงมีเจตนาทุจริต ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อเกิดเรื่องขึ้น จ่าสิบตำรวจจรัสได้ไกลเกลี่ยจำเลยก็ยอมคืนไม้ให้โจทก์ร่วมแต่โดยดี ทั้งสองครั้งที่จำเลยเอาไม้ไปให้โจทก์ร่วมก็ยังคงยืนยันว่าไม่ใช่ไม้ของเดิมอยู่นั่นเองแสดงให้เห็นว่ามีความอาฆาตโกรธเคืองจำเลยอยู่ ระหว่างนั้นคือเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2519 ก่อนครบกำหนดวันที่โจทก์ผ่อนผันให้จำเลยอยู่ บิดาของจำเลยได้ถึงแก่กรรมที่บ้านพี่ชายซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน จำเลยว่าจึงมีความจำเป็นต้องเอาไม้กระดานไปปูบนร่องสวนเพื่อจัดงานศพ เพราะหาที่อื่นไม่ได้ ทั้งที่บ้านพี่ชายหลังเล็กไม่พอจัดงานและรับแขก เมื่อร้อยตำรวจโทพินัยสอบถามจำเลยก็ให้การดังนั้นมาแต่ต้น จึงน่าเชื่อว่าจำเลยได้เอาไม้กระดานของโจทก์ร่วมไปใช้แต่เพียงชั่วคราว มิได้เจตนาเอาไปเลยดังที่จำเลยฎีกาพยานจำเลยซึ่งเป็นญาติของทั้งสองฝ่ายก็เบิกความในทำนองนี้ รูปคดียังเป็นที่สงสัยอยู่ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่ ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย” พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

จำเลยเอาไม้ที่ปูพื้นเรือนของโจทก์ร่วม 8 แผ่น ไปปูบนร่องสวนเพื่อใช้จัดงานศพชั่วคราว มิได้มีเจตนาเอาไปเลย ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2521
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำคุกจำเลย 1 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “บ้านหลังนี้เก่ามีสภาพชำรุดทรุดโทรมปลูกอยู่ในสวน ฝาขัดแตะ เสาไม้จริงผุกร่อนแทบทุกต้น ดังปรากฏตามภาพถ่ายหลังคามุงจาก พื้นกระดาน จำเลยเช่าอยู่อาศัยมากว่า 30 ปี โจทก์ให้จำเลยออกไปภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2519 ก่อนถึงกำหนดจำเลยได้รื้อเอาไม้พื้นกระดานไป 8 แผ่น เมื่อโจทก์ร่วมมาตรวจพบเข้าและไปแจ้งตำรวจ จำเลยก็นำกลับมาคืนให้ตามเดิม แต่ทั้งสองฝ่ายยังโต้เถียงกันอยู่ โดยโจทก์ร่วมอ้างว่าไม่ใช่ไม้ของเดิม แต่ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งศาลไปเดินเผชิญสืบว่าไม้ที่จำเลยคืนและไม้กระดานพื้นบ้านของโจทก์เป็นไม้ชนิดเดียวกันมีสภาพเก่าเหมือนกัน แม้บางแผ่นจะสั้นกว่ากันเล็กน้อย ก็เหมือนกับที่ห้องด้านหน้าเชื่อว่าไม้ที่จำเลยนำมาคืนเป็นไม้กระดานแผ่นเดิมมิได้เปลี่ยนไม้อื่นมาให้ โจทก์มิได้ฎีกาในข้อนี้ จึงมีปัญหาต่อไปที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่าจำเลยมีเจตนาลักทรัพย์รายนี้หรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยเอาไม้ยางมาปูแทนไม้แดงจึงมีเจตนาทุจริต ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อเกิดเรื่องขึ้น จ่าสิบตำรวจจรัสได้ไกลเกลี่ยจำเลยก็ยอมคืนไม้ให้โจทก์ร่วมแต่โดยดี ทั้งสองครั้งที่จำเลยเอาไม้ไปให้โจทก์ร่วมก็ยังคงยืนยันว่าไม่ใช่ไม้ของเดิมอยู่นั่นเองแสดงให้เห็นว่ามีความอาฆาตโกรธเคืองจำเลยอยู่ ระหว่างนั้นคือเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2519 ก่อนครบกำหนดวันที่โจทก์ผ่อนผันให้จำเลยอยู่ บิดาของจำเลยได้ถึงแก่กรรมที่บ้านพี่ชายซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน จำเลยว่าจึงมีความจำเป็นต้องเอาไม้กระดานไปปูบนร่องสวนเพื่อจัดงานศพ เพราะหาที่อื่นไม่ได้ ทั้งที่บ้านพี่ชายหลังเล็กไม่พอจัดงานและรับแขก เมื่อร้อยตำรวจโทพินัยสอบถามจำเลยก็ให้การดังนั้นมาแต่ต้น จึงน่าเชื่อว่าจำเลยได้เอาไม้กระดานของโจทก์ร่วมไปใช้แต่เพียงชั่วคราว มิได้เจตนาเอาไปเลยดังที่จำเลยฎีกาพยานจำเลยซึ่งเป็นญาติของทั้งสองฝ่ายก็เบิกความในทำนองนี้ รูปคดียังเป็นที่สงสัยอยู่ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่ ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น

#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์