ครอบครองปรปักษ์

#image_title

#image_title

#image_title
ศิลปะการพูดว่าความในศาล
โดย…ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์(ทนายโทนี่)
www.drsuthichai.com
ผู้ที่เป็นทนายความ มักมีโอกาสได้ใช้คำพูดในการว่าความมากกว่าบุคคลโดยทั่วไป ซึ่งตัวกระผมเองได้ประกอบอาชีพทนายความก็ได้มีโอกาสได้ใช้คำพูดในการว่าความ
ศิลปะการพูดว่าความในศาล จึงต้องสมควรเรียนรู้ สำหรับผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพทนายความ หรือแม้แต่บุคคลโดยทั่วไป ก็ควรทำการศึกษาเพราะในชีวิตคนเราสักวันหนึ่งอาจจะต้องได้มีโอกาสเรียกตัวไปเป็นพยาน หรือ เป็นจำเลย เป็นโจทก์ ซึ่งก็ต้องใช้คำพูดในการตอบทนายความ
ทนายความ ที่จะการพูดว่าความในศาลได้ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้
1.ต้องเป็นคนช่างถาม ช่างซัก เพราะทนายความจะต้องเป็นผู้ที่ ซักถาม ถามค้าน ถามติงและถามนำ พยานที่เบิกความต่อศาล
2.ต้องเป็นคนช่างเถียง ทนายความ ที่ว่าความเก่ง มักเป็นคนที่ชอบหาเหตุผลมาเถียงเพื่อต่อสู้กับฝ่ายตรงกันข้าม
3.ต้องมีไหวพริบปฏิภาณดี สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ เมื่อถูกศาลถาม หรือ เมื่อพยานตอบคำถามที่เป็นอันตรายและไม่เป็นประโยชน์กับฝ่ายของตนเอง ก็ยิ่งที่จะต้องรีบหาทางแก้ไข
4.ต้องมีความอดทน เพราะการพูดว่าความในศาลเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์ในการเรียนรู้ และต้องอาศัยการศึกษาค้นคว้าวิชากฎหมายและวิชาอื่นๆ เพิ่มเติมอย่างสม่ำเสมอ
การถาม ทนายความ ที่เก่งมักจะทำการบ้านมาเป็นอย่างดี กล่าวคือ เขาจะหัดตั้งคำถามไว้มากๆ อาจจะตั้งคำถามเตรียมไว้ซัก 100 คำถาม แต่อาจจะนำไปใช้จริงๆ สัก 30 คำถาม และเมื่ออยู่ในศาลเขาจะซักถามจนสุดความสามารถ แต่จะถามให้ได้ประโยชน์กับฝ่ายตนเองมากที่สุด คำถามไหนที่ทำให้ฝ่ายของตนเองเสียเปรียบก็จะไม่พยายามซักถาม อีกทั้งต้องมีการเตรียมการบ้านมาเป็นอย่างดี เขาจะเตรียมคำถามไว้ล่วงหน้า ว่าคำถามนี้จะถามอย่างไร กับใคร
การถาม ทนายความ ควรคำนึงถึงว่า จะถามเรื่องอะไร จะถามอย่างไร จะถามไปทำไม จะถามแล้วได้รับประโยชน์อะไรจากคำถามที่ถาม และควรคำนึงถึงลำดับในการถามว่าจะถามคำถามใดก่อน คำถามใดมาทีหลัง และควรถามความด้วยความมั่นใจ พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ อีกทั้งควรเว้นวรรค หรือ เว้นระยะหยุดเพื่อให้ศาลได้ทำการบันทึกคำตอบของพยาน
เทคนิค ในการถาม อีกประการหนึ่งก็คือ โดยมากมักจะไม่ใช้ คำถามว่า “ ทำไม” เพราะอาจจะเกิดความผิดพลาดหรือเสียท่าได้ อันเนื่องมาจากพยานได้อธิบายข้อพร่องที่ทำให้ฝ่ายของตนเองเสียเปรียบ แต่ควรจะตั้งคำถามในลักษณะปลายปิด เช่น ใช่หรือไม่ , มีคนอยู่ด้วยหรือไม่มีเลย , ใช่ไหม เป็นต้น
ตัวอย่างคำถาม
ถาม พยานรู้จักกับจำเลยมาประมาณ 20 ปี ใช่ไหม
ตอบ ใช่
ถาม พยานทราบไหมในวันจับกุมใครอยู่ในที่เกิดเหตุ
ตอบ ไม่ทราบ
ถาม วงไพ่ที่เล่นกันในวันที่ถูกจับกุมเป็นไพ่ป๊อกหรือไพ่ไทย
ตอบ ไพ่ไทย
ถาม พยานยืนอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 10 เมตร หรือ 20 เมตร
ตอบ ประมาณ 10 เมตร
ถาม ในวันเกิดเหตุจำเลยมากับเพื่อนผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชาย
ตอล เพื่อนผู้ชาย
การซักถามพยานในศาล โดยมากมักจะมีในศาลชั้นต้น ส่วนศาลอุทธรณ์และศาลฏีกา มักจะไม่มีการซักพยาน ถึงแม้กฎหมายจะเปิดช่องให้ซักถามได้แต่ก็ไม่ค่อยมีการซักถามกัน
สำหรับการซักถาม หม่อมหลวงสุพร อิศรเสนา ได้ให้ความหมาย และได้แบ่งการถามออกเป็น 3 วิธี อีกทั้งได้เขียนไว้ว่าการถามแบบไหนใช้คำถามนำได้หรือไม่ได้(จากตำราว่าความซักถาม ถามค้านหน้าที่ 19-21)
1.การซักถาม(ถามชั้นแรก)
2.การถามค้าน
3.การถามติง
การซักถาม คือ การถามโดยคู่ความฝ่ายที่อ้างพยานนั้นเพื่อให้เบิกความตามประเด็นที่ผู้อ้างตั้งใจจะนำสืบเพื่อประโยชน์แก่คดีของตน
ห้ามใช้คำถามนำ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 118 เว้นแต่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยินยอมหรือได้รับอนุญาตจากศาล(เหตุผลเพราะเป็นการเอาเปรียบคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง)
การถามนำ คือ คำถามซึ่งแนะแนวทางหรือชี้แนวทางให้พยานตอบตามที่ผู้ถามต้องการให้ตอบ
การถามค้าน คือ การถามของคู่ความฝ่ายตรงกันข้ามกับฝ่ายที่อ้างพยาน
ส่วนคำถามค้าน ใช้คำถามนำได้
การถามติง คือ การที่คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานถามพยานปากนั้นอีกครั้งหนึ่งภายหลังที่พยานนั้นถูกอีกฝ่ายหนึ่งถามค้านแล้ว
การถามติงนี้ จะใช้คำถามนำไม่ได้
สำหรับการถามนำนี้ กระผมขอยกตัวอย่างเพิ่มเติมให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่น ถามว่า วันที่เกิดเหตุ คือวันที่ 20 มกราคม 2557 ใช่ไหม พยานก็ตอบว่า ใช่ คำถามลักษณะนี้เป็นคำถามที่ชี้นำให้พยานตอบ เพราะพยานไม่ต้องใช้ความจำหรือความคิดอะไร
ทั้งนี้ ศิลปะการพูดว่าความในศาล ยังควรคำนึงถึงมรรยาทในการถาม เช่นควรใช้คำพูดที่มีความสุภาพเรียบร้อย ถามแต่ประเด็นที่สำคัญจะทำให้ศาลเกิดความเชื่อถือทนายผู้ซักถาม ไม่ควรขู่กรรโชกหรือใช้ภาษาที่หยาบคายดุดันกับพยาน
ท่านที่ต้องการศึกษาการพูดว่าความในศาลเพิ่มเติมท่านสามารถอ่านได้จากหนังสือตำราว่าความซักถามถามค้านของหม่อมหลวงสุพร อิศรเสนา , หนังสือวิชาว่าความและมรรยาททนายความของศาสตราจารย์มารุต บุนนาค ,คู่มือการเป็นทนายว่าความ ของอุทัย ศุภนิตย์ และ ซักความ พิสดาร ฉบับศิลปในการซักถามของรชฎ เจริญฉ่ำ

#image_title
ตั้งสติก่อนจะด่าใคร? ความแตกต่างระหว่าง ดูหมิ่นกับหมิ่นประมาท
โดย…ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์(อาจารย์โทนี่) www.drsuthichai.com
ดูหมิ่น
“มาตรา 393 ” หรือ “มาตรา 393 อาญา” คือหนึ่งในมาตราของประมวลกฎหมายอาญา
ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘] “
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1623/2551 การดูหมิ่นผู้อื่นอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 393 หมายถึง
การดูถูกเหยียดหยาม สบประมาท หรือทำให้อับอาย การวินิจฉัยว่าการกล่าววาจาอย่างไรเป็นการดูหมิ่น
ผู้อื่นหรือไม่จึงต้อง พิจารณาว่าถ้อยคำที่กล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยามสบประมาทผู้ที่ถูกล่าวถึง หรือเป็น
การทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวถึงอับอายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว ไม่ต้องถึงกับเป็นการ
ใส่ความให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ซึ่งเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326
หมิ่นประมาท
มาตรา 326* ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา 326 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฏหมายอาญา (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2535 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2535]
+++ตัวอย่างคดีที่ศาลฎีกาตัดสินเป็นบรรทัดฐานว่าเป็นการใส่ความ และเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
เช่น
+คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 380/2503 จำเลยได้รับคำบอกเล่าจากญาติของโจทก์ว่า โจทก์รักใคร่กับชายใน
ทางชู้สาว นอนกอดจูบและได้เสียกัน ต่อมามีผู้ถามจำเลยถึงเรื่องนี้ จำเลยก็เล่าตามข้อความที่ได้รับบอกเล่ามา
เช่นนี้ถือว่าถ้อยคำที่จำเลยกล่าวเป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ จำเลยมีความผิดตามมาตรา 326
+คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2537 หัวข้อข่าวที่ว่า แอมบาสเดอร์เบี้ยวค่าเฟอร์นิเจอร์เจ้าของร้านฟ้อง
ศาลเรียกหนี้ 1 ล้าน คำว่าเบี้ยวมีความหมายพิเศษเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่าหมายถึง ไม่ซื่อตรงหรือโกง หมายถึง
แอมบาสเดอร์ไม่จ่ายค่าเฟอร์นิเจอร์ เพราะไม่ซื่อตรงหรือโกง เจ้าของร้านฟ้องศาลเรียกหนี้ 1 ล้านบาท และ
หัวข้อข่าวดังกล่าวเป็นถ้อยคำของหนังสือพิมพ์เอง ประกอบกับข้อความในเนื้อข่าวเป็นการใส่ความโจทก์โดย
ประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
+คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2371/2522 จำเลยพูดถึงผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงทำงานอยู่ที่สำนักงานที่ดิน
อำเภอว่ากระหรี่ที่ดิน คำว่า “กระหรี่” หมายความว่าหญิงนครโสเภณีหรือหญิงค้าประเวณี แม้จำเลยจะไม่ได้
กล่าวรายละเอียดว่าค้าประเวณีกับใครประพฤติสำส่อนในทางเพศกับใครบ้างก็เพียงพอที่จะถือว่าเป็นคำหมิ่น
ประมาทแล้ว
จากตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การหมิ่นประมาทไม่ใช่การด่ากัน แต่เป็นการ
ใส่ความผู้อื่น ทั้งเรื่องจริงและไม่จริง

#image_title
กฎหมายเกี่ยวกับผู้เยาว์
โดย..ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์(อาจารย์โทนี่)
การที่บุคคลจะทำนิติกรรมต่างๆ เช่น ทำสัญญาซื้อขายที่ดิน , การขายบ้าน , การรถยนต์,การทำสัญญากู้ยืมเงิน และแม้กระทั่งการแต่งงาน ฯลฯ ได้นั้น บุคคลคนนั้นจะต้องมีอายุเกิน 20 ปี หรือตามกฎหมายมักเรียกว่า บรรลุนิติภาวะ (คนที่อายุไม่ถึง 20 ปี บริบูรณ์ ตามกฎหมายมักเรียกว่า เป็นผู้เยาว์ครับ)
แต่อาจมีนิติกรรมบางอย่างที่ผู้เยาว์สามารถกระทำได้ อันได้แก่ นิติกรรมหรือกิจกรรมใดๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์โดยไม่ก่อความเสียหายให้แก่ผู้เยาว์ เช่น การรับทรัพย์สินหรือการรับโอนที่ดินโดยเสน่หา และผู้ให้ไม่มีข้อผูกมัดหรือเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น
สำหรับบุคคลใดต้องการจะโอนที่ดินให้ผู้เยาว์ หรือ มอบมรดกให้ผู้เยาว์ต้องระวังนะครับ เพราะเมื่อโอนให้ผู้เยาว์แล้ว ไม่สามารถให้ผู้เยาว์โอนคืนหรือให้ผู้เยาว์ทำนิติกรรมใดๆ เกี่ยวกับที่ดินนั้นได้ หรือแม้แต่ผู้เยาว์เสียชีวิตลง ผู้ที่โอนที่ดินให้ผู้เยาว์ก็ไม่สามารถโอนกลับไปให้เจ้าของเดิมได้ แต่ต้องว่ากันด้วยกฎหมายที่ว่าด้วยมรดก คือ มรดกที่ดินดังกล่าวจะต้องตกกับทายาทของผู้เยาว์ที่ตายไปนั้นเอง
แต่ในบางกรณี เด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี หรือผู้เยาว์ ก็สามารถทำนิติกรรมหรือบรรลุนิติภาวะได้ เช่น เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 17 ปี แต่งงานและพ่อแม่ ผู้ปกครองให้การยินยอมให้แต่งงาน เมื่อเด็กและเยาวชนคนนั้นแต่งงานเสร็จ ก็ถือว่า บรรลุนิติภาวะหรือสามารถทำนิติกรรมทุกอย่างได้ครับ
แต่ต้องเป็นการสมรสแบบถูกต้องตามกฎหมายนะครับ ถึงจะพ้นสภาพการเป็นผู้เยาว์ได้
สำหรับการกระทำความผิดต่อเด็กหรือผู้เยาว์ มีหลักการ ลงโทษ…โดยกฎหมายจะดูอายุของเด็กเป็นสำคัญ..หากผู้เยาว์หรือเด็กอายุยิ่งน้อย…ความผิดในการลงโทษยิ่งมาก…เช่น การพรากผู้เยาว์ เยาวชนอายุระหว่าง 15-18 ปี ( ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 บัญญัติว่า “ ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 4,000 บาท ถึง 20,000 บาท” ) , การพรากผู้เยาว์ เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 บัญญัติว่า “ ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควรพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 6,000 บาท ถึง 30,000 บาท” ) ถามว่า โทษคดีที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชน ทำไมอายุยิ่งน้อย โทษจึงยิ่งมาก เพราะตามหลักของกฎหมาย กฎหมายมักคุ้มครองเด็ก เพื่อไม่ให้ผู้ใหญ่เอาเปรียบ รังแก ทำทารุณ ได้ครับ
และจากข้อความข้างต้น ทำไมผมถึงเขียนเด็กบ้าง เยาวชนบ้าง เพราะความหมายของคำว่า
ของคำว่า “ เด็กและเยาวชน ” มีความแตกต่างกันและอีกทั้งมีการนิยามจากหลายหน่วยงาน เช่น
พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชน พ.ศ.2550 (มาตรา 4)
กำหนดความหมายคำว่า
“เด็ก” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 18 บริบูรณ์
“เยาวชน” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ – 25 ปีบริบูรณ์
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายของคำว่า “เยาวชน” ไว้หมายถึง บุคคลที่มีอายุเกิน 14 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ และไม่ใช่เป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้วด้วยการสมรส
ขณะที่องค์การสหประชาชาติได้ให้ความหมายสากลของคำว่า “เยาวชน” หมายถึง คนในวัยหนุ่มสาว คือ ผู้ที่มีอายุระหว่าง 15-25 ปี
ในปัจจุบัน เรามีศาลเยาวชนและครอบครัว ซึ่งถือว่าดีมาก เพราะคดีเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนถือว่า เป็นคดีที่มีความแตกต่างจากผู้ใหญ่ อีกทั้งศาลเด็กและเยาวชนยังมีความแตกต่างตรงที่มีผู้พิพากษาสมทบอีกด้วย สำหรับผู้พิพากษาและผู้พิพากษาสมทบ คือ ผู้แทนของประชาชนในการตัดสินเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิดในรูปแบบของการแก้ไข บำบัด ฟื้นฟู สงเคราะห์ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เด็กและเยาวชนที่หลงผิดกลับตัวเป็นพลเมืองดีของสังคม
สำหรับบทความฉบับนี้ กระผมขอจบด้วยปรัชญาของศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ซึ่งแต่งโดยท่านสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง พ.ศ.2546-2547 มีความว่า
มุ่งแก้ไขให้โอกาสผู้พลาดผิด มุ่งลิขิตเปลี่ยนชีวิตผู้ผิดหลง
มุ่งคุ้มครองสิทธิเด็กเจตจำนง มุ่งธำรงความยุติธรรมค้ำแผ่นดิน

#image_title

#image_title