ถ้าเขาเป็นคนที่ไม่ใช่ ต่อให้เขามาหา มาตามตื้อ ตามจีบ พูดจาไพเราะ ยิ่งรู้สึก…รำคาญ  แต่ถ้าเขาเป็นคนที่ใช่ ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องพยายาม พูดจาอย่างไร ก็น่าฟัง  อย่าพยายามเป็นคนที่ใช่  เพราะคนที่ใช่ไม่ต้องพยายาม สุทธิชัย ปัญญโรจน์ อาจารย์โทนี่ www.drsuthichai.com

ถ้าเขาเป็นคนที่ไม่ใช่ ต่อให้เขามาหา มาตามตื้อ ตามจีบ พูดจาไพเราะ ยิ่งรู้สึก…รำคาญ แต่ถ้าเขาเป็นคนที่ใช่ ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องพยายาม พูดจาอย่างไร ก็น่าฟัง อย่าพยายามเป็นคนที่ใช่ เพราะคนที่ใช่ไม่ต้องพยายาม สุทธิชัย ปัญญโรจน์ อาจารย์โทนี่ www.drsuthichai.com

ถ้าเขาเป็นคนที่ไม่ใช่ ต่อให้เขามาหา มาตามตื้อ ตามจีบ พูดจาไพเราะ ยิ่งรู้สึก…รำคาญ แต่ถ้าเขาเป็นคนที่ใช่ ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องพยายาม พูดจาอย่างไร ก็น่าฟัง อย่าพยายามเป็นคนที่ใช่ เพราะคนที่ใช่ไม่ต้องพยายาม สุทธิชัย ปัญญโรจน์ อาจารย์โทนี่ www.drsuthichai.com

#image_title

ทำงานอย่างไรให้มีความสุข

ทำงานอย่างไรให้มีความสุข

ทำงานอย่างไรให้มีความสุข
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

คนเราทุกคนเกิดมาแล้วควรทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น การทำงานคือสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราสามารถทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้ แต่ในการทำงานก็ทำให้คนส่วนใหญ่เกิดความทุกข์ได้เช่นกัน ในบทความตอนนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่อง “ การทำงานอย่างไรให้มีความสุข ” ซึ่งท่านสามารถนำเอาหลักการบางอย่างไปใช้ได้ การทำงานอย่างไรให้มีความสุขมีดังนี้

1.มีความรักในงานที่ทำ การมีความรัก ความชอบ ในงานที่ตนเองทำ เป็นหัวใจหลักของการมีความสุขในการทำงาน โทมัส เอดิสัน เป็นนักประดิษฐ์เอกของโลก ได้ประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ มามากมาย สิ่งประดิษฐ์บางชิ้นก็ยากเย็นแสนยาก แต่ท่านมีความรัก ความชอบในงานที่ทำท่านจึงมีความสนุกกับมัน อีกทั้งสามารถทำงานได้เป็นเวลานานๆ จิตใจก็คิดแต่เรื่องของการประดิษฐ์ตลอดเวลา ไม่ว่าตอนรับประทานอาหาร ตอนเข้าห้องน้ำ เมื่อมีความรัก ความชอบในงานที่ทำ ผลงานที่ยิ่งใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับคนผู้นั้นเสมอ แต่ในทางตรงกันข้าม หากเราไม่มีความรัก ความชอบ ในงานที่ทำ งานนั้นๆ ก็จะเป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัสสำหรับเรา เราจะทำงานด้วยความเบื่อหน่าย ท้อแท้ ไม่มีความสุข อยากที่จะเปลี่ยนงาน

2.มีเป้าหมายในการทำงาน หากท่านทำงานไปวันๆ ไม่มีเป้าหมาย ท่านจะทำงานอย่างขอไปที หรือไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ท่านควรเริ่มตั้งเป้าหมายในการทำงาน ว่าอีก 5 ปี ข้างหน้าท่านจะขึ้นตำแหน่งบริหาร หรือ ปีหน้าท่านจะสร้างยอดขายให้ได้ 1 ล้านบาทต่อปี ถ้าท่านมีเป้าหมายดังกล่าว ท่านก็จะมีความขยัน มีความกระตือรือร้น ท่านจะมีพลังในการหาวิธีเพื่อไปถึงเป้าหมาย

3.มีมนุษยสัมพันธ์ในการทำงานร่วมกัน หลักในการทำงานร่วมกันย่อมเกิดปัญหาความไม่เข้าใจหรือความขัดแย้งขึ้นใน องค์การเสมอ ท่านต้องพยายามปรับตัว ท่านต้องรู้จักปล่อยวางในบางสถานการณ์ อีกทั้งท่านควรมีมนุษยสัมพันธ์ในที่ทำงาน คนที่มีมนุษยสัมพันธ์มักเป็นคนที่มีเพื่อนมาก มีคนคอยให้การช่วยเหลือ อีกทั้งจะมีความสุขในการทำงานในการดำเนินชีวิตมากกว่าคนที่ทำงานเข้ากับใคร ไม่ได้

4.มีการบริหารเวลาที่ดี คนเรามีเวลาเท่ากัน 24 ชั่วโมง แต่ขึ้นอยู่กับว่าคนๆนั้น จะบริหารเวลา 24 ชั่วโมง อย่างไรให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นมากที่สุด หลักการบริหารเวลาที่ดี มีผู้รู้เคยแนะนำว่า ควรแบ่งเวลาออกเป็น 4 ส่วน ใหญ่ๆ กล่าวคือ แบ่งเวลาให้แก่งาน แบ่งเวลาให้แก่สังคม แบ่งเวลาให้แก่ครอบครัว และแบ่งเวลาให้แก่สุขภาพของตนเอง

สำหรับ เวลาที่ใช้ในการนอนหลับ เวลาที่ใช้ไปในการเดินทาง เวลาที่ใช้ไปในการรับประทานอาหาร เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจาก เราเสียเวลาดังกล่าวค่อนข้างมากสำหรับการทำสิ่งเหล่านี้ หากรู้จักใช้ประโยชน์จากเวลาที่เสียไปดังกล่าวก็จะทำให้เราสามารถสร้างผลงาน ขึ้นมาอย่างมากมาย เช่น ระหว่างขับรถอาจฟังเทปหรือvcd วิชาการ หรือ เราอาจจะนอนหลับให้น้อยลงเพื่อจะได้มีเวลาในการทำงานเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ศาสตร์ในการบริหารเวลาเป็นศิลปะ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

5.มีความคิดเรื่องประโยชน์ที่ได้จากการทำงาน งานทุกงานมีประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นทั้งสิ้น หากท่านคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ของแต่ตนเองเป็นหลัก เช่น เรื่องการขึ้นเงินเดือน เรื่องการขึ้นตำแหน่ง เรื่องโบนัส ฯลฯ การทำงานของท่านก็อาจเป็นทุกข์ เมื่อถึงเวลาพิจารณาท่านไม่ได้สิ่งดังกล่าว แต่หากท่านมองเห็นประโยชน์ที่ได้จากการทำงานที่ทำให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ ท่านจะมีพลังในการทำงานมากขึ้น เช่น ท่านเป็นครู เป็นอาจารย์ ท่านเกิดความภาคภูมิใจในการสอนในการผลิตนักเรียน หรือนักศึกษา นิสิต ที่มีคุณภาพ มีคุณธรรม ออกมารับใช้สังคม ท่านจะเกิดความสุขใจจากสิ่งที่ท่านได้ทำงาน

และยังมีอีกหลายปัจจัยที่จะทำให้ท่านมีความสุขในที่ทำงาน เช่น การคิดบวก , การรู้จักคลายเครียดในการทำงาน เป็นต้น จะเห็นได้ว่า สิ่งที่กระผมกล่าวมาข้างต้น เป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับตนเองเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งการทำงานมีเรื่องทะเลาะกัน หรือ ไม่เข้าใจกัน แต่เรานำมาคิดมากจนเกินไปก็จะทำให้เราเกิดความทุกข์ขึ้นได้ สุขในการทำงานหรือทุกข์ในการทำงานขึ้นอยู่กับตัวเราเป็นสำคัญว่าเราจะเลือก ความสุขหรือเลือกเอาความทุกข์ที่เกิดจากการทำงาน

#image_title

ความเชื่อมั่นในตัวเอง คุณก็ทำได้

ความเชื่อมั่นในตัวเอง คุณก็ทำได้

ทำได้ สำเร็จได้

                                             เชื่อมั่นในตน

โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของบรรดาบุคคลที่ประสบ ความสำเร็จ ไม่มีบุคคลสำคัญคนใดเลยที่ไม่มีคุณสมบัติดังกล่าว หากท่านปราศจากความเชื่อมั่นในตนเองแล้วท่านก็ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ที่ใหญ่โตได้
ลักษณะของคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองจะมีพฤติกรรม กล่าวคือ กล้าแสดงออก กล้าพูด กล้าคิด กล้าที่จะลงมือทำ มีความกล้าเสี่ยง ชอบริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งแปลกๆใหม่ๆ มีความเป็นผู้นำ เป็นต้น
สำหรับการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง เราสามารถสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง ได้ดังนี้
1.ต้องรู้จักพึ่งตนเอง การพึ่งพาตนเอง การใช้ความสามารถของตนเองให้มากที่สุด จะทำให้เราสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างมากมาย คนที่ขาดการพึ่งพาตนเอง ได้แต่ขอความพึ่งพาจากผู้อื่น จะทำให้เกิดความอ่อนแอ อีกทั้งเป็นสิ่งที่ทำลายอนาคตของตนเอง
2.ต้องรู้จักนั่งแถวหน้า ในงานอบรม ในงานสัมมนา ในงานประชุมต่างๆ เราจะเห็นได้ว่าคนที่เป็นผู้นำหรือคนที่มีความมั่นใจในตนเองจะเป็นคนนั่งแถว หน้า แต่ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่ขาดความมั่นใจจะรู้สึกมีความปลอดภัยโดยการนั่งแถวหลังๆ เพราะการนั่งแถวหน้า มักจะเป็นจุดเด่น เป็นเป้าสายตา อีกทั้งยังมีโอกาสถูกวิทยากรถามอีกด้วย
3.ต้องมีความกระตือรือร้น โดยฝึกเคลื่อนไหวร่างกายให้มีความกระฉับกระเฉง เดินให้เร็วกว่าปกติสัก 20-30 เปอร์เซ็นต์ ฝึกเดินยืดอก ยืดไหล่ หน้าเชิด อย่างคนที่มีความมั่นใจในตนเอง ถ้าท่านผู้อ่านลองไปสังเกตดู ในการเดินแต่ละรูปแบบ อารมณ์ของคนเราจะเปลี่ยนไป การเดินเร็วกว่าปกติจะทำให้ท่านมีอารมณ์ที่สดชื่น มีความมั่นใจในตนเอง แต่ตรงกันข้ามหากท่านเดินช้ากว่าปกติ อารมณ์ของท่านก็จะมีความรู้สึกที่ห่อเหี่ยว เฉื่อยชา
4.ต้องฝึกการพูดต่อหน้าที่ชุมชนและฝึกพูดแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม การฝึกพูดต่อหน้าที่ชุมชนและการฝึกแสดงความคิดเห็น จะทำให้เราเกิดความมั่นใจในตนเอง คนหลายคนมีศักยภาพ มีความสามารถ มีความคิดที่ดีเฉียบแหลม แต่ไม่กล้ายืนพูดต่อหน้าที่ชุมชนหรือแสดงความคิดเห็น ฉะนั้นหากท่านต้องการสร้างความมั่นใจในตนเอง ท่านต้องกล้าที่จะยืนพูดหรือกล้าแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะชน เมื่อท่านพูดบ่อยๆ ท่านก็จะมีความมั่นใจในตนเองมากยิ่งขึ้น
5. ต้องฝึกพูดบวกกับตัวเองบ่อยๆ ว่า “ฉันทำได้” “ ฉันสู้ตาย” ไม่ควรพูดกับตัวเองในทางลบ “ ฉันทำไม่ได้แน่” “ เรื่องนี้ยากเกินไป” “ไม่เอาแล้วไม่สู้แล้ว” การฝึกพูดบวกกับตัวเองบ่อยๆ จะช่วยให้ท่านเกิดความมั่นใจในตนเองยิ่งขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อท่านพูดลบกับตัวเองบ่อยๆ ความมั่นใจในตนเองของท่านก็จะลดน้อยลง
6. ต้องฝึกสบสายตา คนที่มีความมั่นใจในตนเอง เวลาพูดเวลาสนทนากันเขามักจะกล้ามองตาผู้สนทนา แต่บุคคลที่ขาดความมั่นใจในตนเอง มักจะเป็นคนที่ลบสายตาในเวลาที่สนทนากัน การลบสายตามักจะทำให้ผู้สนทนาตีความหมายไปในทิศทางต่างๆ เช่น ผู้ลบสายตาเขากลัวอะไร , เขากำลังปิดบังอำพรางอะไรหรือไม่ , เขากำลังมีความลับอะไรบางอย่างหรือไม่ ฯลฯ
7.ต้องฝึกมองโลกในแง่ดี ฝึกยิ้มให้กว้าง ฝึกอารมณ์ให้เบิกบานแจ่มใส จะช่วยสร้างกำลังใจของท่านให้ดีขึ้น และทำให้เกิดความมั่นใจในตนเอง การฝึกยิ้มให้กว้างจนเห็นฟันจะดีกว่าการยิ้มแบบปิดปากหรือยิ้มแบบครึ่งๆ กลางๆ จากการศึกษาและสำรวจ บุคคลที่ยิ้มกว้างหรือยิ้มแบบเปิดเผยจะทำให้ท่านชนะความกลัวและเกิดความมั่น ใจในตนเองขึ้น
ทั้งหมดข้างต้นนี้ เป็นเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ในการฝึกสร้างความมั่นใจให้แก่ตนเอง หากท่านลองนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ท่านก็จะเกิดความมั่นใจในตนเองมากขึ้น จงฝึกเพื่อพัฒนาตนเอง ปรับปรุงตนเอง ท่านก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวของท่าน

#image_title

คิด ทำ อย่างมหาเศรษฐีเงินล้าน

คิด ทำ อย่างมหาเศรษฐีเงินล้าน

คิดทำอย่างเศรษฐี
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

คนที่จะเป็นเศรษฐี มักมีบุคลิก ลักษณะ ทัศนคติ นิสัยใจคอ ส่วนใหญ่ที่คล้ายคลึงกัน เช่น หากผมชี้ไปยังกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งแล้ว ถามพวกเราว่าคนกลุ่มดังกล่าวใครเป็นคนมีฐานะดีร่ำรวย ผมเชื่อแน่ว่าหลายๆคนอาจชี้เหมือนกัน กล่าวคือ ดูจากบุคลิก ท่าทาง การพูดจา เรียกว่าคนๆนั้นเป็นคนมี “ ราศีจับ ” นั้นเอง
ดังนั้น การจะเป็นเศรษฐีท่านจำเป็นจะต้องเรียนรู้และสังเกตว่า บรรดาคนมีฐานะดี ร่ำรวยและเป็นเศรษฐีเขาคิดกันอย่างไร ซึ่งอาจพูดรวมได้ว่าเศรษฐีส่วนใหญ่มีหลักการสำคัญที่เหมือนกันดังนี้
1.มีความคิดว่าตนเองมีสิทธิเป็นเศรษฐีหรือร่ำรวยได้ วิธีการสร้างความคิด ความฝัน ที่ดีวิธีหนึ่งก็คือ หมั่นจินตนาการว่า ตนนอนหลับในบ้านหลังใหญ่ที่สวยหรู จินตนาการว่าตนขับรถคันใหญ่ราคาแพง มีคนใช้คอยปรนนิบัติรับใช้ ถ้าหากท่านจินตนาการบ่อยๆ ทุกๆวัน วันละหลายๆครั้งหลายๆนาที ก็จะทำให้จิตใต้สำนึกของท่านรับรู้ความรู้สึกนั้นมากขึ้น ถ้าจะให้ดีท่านควรตัดภาพรูปรถ รูปบ้านที่ตนเองต้องการ ติดไว้ในห้องทำงาน ห้องนอน แล้วมองมันทุกวัน หลักการนี้เป็นหลักการที่บริษัทฝึกอบรมเกี่ยวกับการขายใช้ในการอบรมนักขาย
2.เขียนเป้าหมายเป็นลายลักษณ์อักษร จงเขียนเป้าหมายที่ท่านต้องการเป็นโดยเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรโดยแบ่งเป็น เป้าหมายระยะสั้น เป้าหมายระยะกลางและเป้าหมายระยะยาว เพราะหากไม่มีเป้าหมายก็ไม่มีทิศทาง พวกเราคงเห็นเรือที่ลอยอยู่กลางทะเล เมื่อถูกคลื่นซัดไปทางใดมันก็จะเคลื่อนไปทางนั้น แต่หากเรากำหนดทิศทางหรือมีเป้าหมาย เรือลำนั้นถึงแม้จะเจอคลื่นลม ก็สามารถฝ่าฟันคลื่นลมไปยังฝั่งเป้าหมายได้ ฉะนั้นควรกำหนดเป้าหมายว่าปีหน้าเราจะสร้างรายได้เท่าไร แล้วจงเขียนมันขึ้นมา
3.หาวิธีการ เมื่อมีจินตนาการ เมื่อมีเป้าหมายแล้ว ควรหาวิธีการในการเดินทางไปสู่เป้าหมาย เช่น ปีหน้าเราตั้งเป้าหมายว่าเราจะมีรายได้ 1 ล้านบาท เราจะทำอย่างไร เช่น เราจะเขียนหนังสือขาย เราจะขายประกันชีวิต เราจะทำธุรกิจเครือข่าย ทำจะประกอบธุรกิจ ฯลฯ เพื่อที่จะหาเงินให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
4.ลงมือทำทันที เมื่อมีจิตนาการ เมื่อมีเป้าหมาย เมื่อมีวิธีการแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ การลงมือทำทันที บางคนมีจินตนาการสูง บางคนมีเป้าหมายชัดเจน บางคนมีวิธีการที่สวยหรู แต่ขาดการลงมือทำทันที สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่บังเกิดผล จงเริ่มต้นลงมือทำ
สำหรับแนวความคิด การกระทำ การดำเนินชีวิต คนที่ต้องการสร้างฐานะหรือเป็นเศรษฐีควรทำเป็นประจำก็คือ
– การพูดให้กำลังใจตนเองเป็นประจำ หากทำได้ควรทำทุกๆวัน ทุกๆตอนเช้า เช่นพูดชมเชยตนเอง พูดว่าฉัน
เป็น คนเก่งที่สุด พูดออกมาดังๆว่า ฉันเยี่ยมที่สุด เป็นต้น การพูดชมเชย การพูดให้กำลังใจตนเองบ่อยๆ และในยามเช้าๆ จะทำให้เราทำงานด้วยความเบิกบานและมีความสุขเนื่องจากอารมณ์ดีสดชื่นแจ่มใส
– มองงานที่ทำให้มีความสนุก หากทำงานที่เราไม่ชอบ งานนั้นอาจสร้างความทุกข์ให้แก่เรา แต่หากเราได้
ทำ งานที่เราชอบ งานนั้นจะเป็นงานที่สร้างความสุข ความสนุกให้แก่ตัวเราเอง จงปรับเปลี่ยนแนวคิดในการทำงาน จงปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้รวดเร็วขึ้น เช่น หากเรากำลังติดแสตมป์บนซองจดหมายซึ่งมีจำนวนมากเป็นพันซอง เราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะติดให้รวดเร็วขึ้น เป็นต้น
– จงทำงานให้เกินเงินเดือน การทำงานให้เกินเงินเดือน มักจะทำให้เราเกิดประสบการณ์ในการทำงาน การ
ทำ งานเกินเงินเดือน จะทำให้เราเรียนรู้ระบบการทำงานได้ดีขึ้น ทำให้เจ้าของกิจการชื่นชอบ และในอนาคตหากต้องการออกไปประกอบอาชีพเองหรือเป็นเจ้าของกิจการเองก็สามารถ นำประสบการณ์ไปใช้ได้
– มีแนวคิดการใช้เงินหรือระบบทำงานแทน เช่น มีแนวคิดจะลงทุนในหุ้น ลงทุนในที่ดิน ลงทุนในระบบธุรกิจ
เครือ ข่าย เป็นต้น คนที่จะเป็นเศรษฐี ส่วนใหญ่มักมีแนวความคิดที่จะใช้เงินลงทุน กล่าวคือ ใช้เงินต่อเงิน หรือใช้เงินไปหาเงินให้มีเพิ่มมากขึ้น
ฉะนั้น หากต้องการเป็นคนร่ำรวย มีฐานะดี เป็นเศรษฐี ท่านควรหาต้นแบบ ท่านควรศึกษา แนวคิดของบรรดาเศรษฐี ว่าเขาลงทุนอะไร เขามีวิธีการลงทุนอย่างไร ถึงได้เกิดความร่ำรวยขึ้น เมื่อศึกษาจากคนต้นแบบแล้วจงเริ่มลงมือทำตามบุคคลต้นแบบ ท่านก็จะเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่จะประสบความสำเร็จในการเป็นเศรษฐี

#image_title

จงเผชิญหน้ากับความตกต่ำ

จงเผชิญหน้ากับความตกต่ำ

คุมโชคชะตา คว้าความสำเร็จ

                                        จงเผชิญหน้ากับความตกต่ำ

โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

ความตกต่ำ เป็นสิ่งที่คนเราไม่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความตกต่ำในชีวิต ความตกต่ำของภาวะจิตใจ ความตกต่ำของสภาพร่างกาย แต่ในความจริงเราไม่สามารถเลี่ยงหนีกับความตกต่ำนั้นได้ ดังคำสอนทางพุทธศาสนาเรื่อง โลกธรรม 8 คือ ได้ลาภ , ได้ยศ , ได้รับสรรเสริญ ,ได้สุข , เสียลาภ , เสื่อมยศ ,ถูกนินทาและพบความทุกข์ สิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถึงแม้ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ทุกๆคนต้องประสบ แต่จะพบมากหรือน้อย ช้าหรือเร็ว เท่านั้นเอง
การดำเนินชีวิตของคนเราหรือการทำงาน เราก็ต้องพบเจอกับความตกต่ำเช่นกัน แต่ทั้งนี้บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักจะทำความเข้าใจธรรมชาติของมันว่า ความตกต่ำเป็นสิ่งที่ไม่ถาวรเป็นสิ่งชั่วคราว ในความจริงแล้วช่วงชีวิตของคนเรามีขึ้น มีลง หากทำความเข้าใจธรรมชาติตรงนี้ได้ก็จะทำให้ความวิตกกังวลลดน้อยลง
สำหรับเทคนิคในการเผชิญหน้ากับความตกต่ำมีดังนี้
1.สร้างแรงบันดาลใจหรือเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จมักมีเป้าหมายหรือแรงบันดาลใจในชีวิต การมีเป้าหมายและแรงบันดาลใจจะทำให้เรามีชีวิตที่ไม่จืดชืด แต่มีความกระตือรือร้น ความทะเยอทะยาน เมื่อตกอยู่ในสภาพตกต่ำก็ไม่ท้อถอยง่ายๆ
2.เรียนรู้นิสัยและปรับปรุงตัวเอง คนบางคนเมื่อพบกับความตกต่ำมักใช้เวลาในการปรับสภาพหรือทำใจนาน แต่คนบางคนเมื่อพบกับความตกต่ำก็ใช้เวลาสั้นๆหรือไม่นานนักในการทำใจ หากใครที่ปรับสภาพหรือทำใจนาน ก็มักจะตกอยู่ในสภาพตกต่ำนานและพบกับความทุกข์ ดังนั้นจงเรียนรู้และพัฒนาจิตใจให้เป็นคนเข้มแข็ง ทำใจให้ลุกขึ้นสู้กับสภาพตกต่ำก็จะทำให้ท่านเกิดภาวะตกต่ำที่ไม่รุนแรงและ ไม่กินเวลานาน
3.ยอมรับความจริงและกล้าเผชิญหน้า คนที่ประสบความสำเร็จเขามักจะไม่โอดครวญ ถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น แต่เขาจะยอมรับความจริงและกล้าเผชิญหน้าอย่างท้าทาย เขาจะไม่ด่าดินฟ้าอากาศ เขาจะไม่ด่าทอเทพพระเจ้าองค์ใด แต่เขาจะเตรียมพร้อมที่จะรับมือ อีกทั้งยังมีความคิดในแง่บวกว่าอุปสรรคต่างๆ เป็นเครื่องทดสอบจิตใจ
4.ขอคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ ในบางครั้งความตกต่ำเป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัส ในบางเรื่องเราก็ไม่เคยพบเจอ เราควรขอคำแนะนำจากผู้ที่มีประสบการณ์หรือบุคคลที่เคยเผชิญกับความตกต่ำมา ก่อน ว่าเขามีวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างไร การขอคำแนะนำดังกล่าวจะทำให้เรา มีวิธีการในการแก้ไขปัญหามากขึ้น
5.นึกถึงอดีตที่เราสามารถเอาชนะความตกต่ำได้ ในช่วงชีวิตของเราในอดีตมักมีบางช่วงที่มีความตกต่ำ แต่เราก็สามารถผ่านพ้นมาได้ การนึกถึงอดีตที่เราสามารถผ่านอุปสรรคต่างๆมาได้จะทำให้เราเกิดกำลังใจ กำลังความคิด ในการแก้ไขปัญหา
6.รู้จักปล่อยวาง ทุกสรรพสิ่งในโลกเรานี้ มักมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป จิตใจหรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเราก็เช่นกัน ก็มี เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ถ้าภาวะความตกต่ำ บางอย่างเราแก้ไขไม่ได้ก็คงต้องปล่อยให้มันดับไปเอง โดยการต้องรู้จักปล่อยวาง เมื่อวัน เวลา เปลี่ยนแปลงไป ทุกอย่างก็จะคลี่คลายไป
7.มองคนที่เขาตกต่ำหรือลำบากกว่าเรา จะทำให้เราเกิดกำลังใจ ความมานะบากบั่นในการต่อสู้เหตุการณ์ หากเราสังเกตและศึกษาประวัติต่างๆ ของคนที่ประสบความสำเร็จ เขาเคยตกต่ำและลำบากกว่าเราแต่เขาก็สามารถผ่านพ้นมาได้ หรือหากเราดูข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ เราก็จะเห็นว่ามีคนในโลกนี้อีกมากมายที่ลำบากกว่าเราหรือตกต่ำกว่าเรา
ดังนั้นการเผชิญหน้ากับความตกต่ำ จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถ ความอดทนและท้าทายจิตใจ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือหลีกหนีมันได้ ฉะนั้นจึงขอให้เราเผชิญหน้ากับมันโดยอาศัยเทคนิคดังกล่าวคือ การสร้างแรงบันดาลใจหรือเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต , เรียนรู้นิสัยและปรับปรุงตัวเอง , ยอมรับความจริงและกล้าเผชิญหน้า , ขอคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ , นึกถึงอดีตที่เราสามารถเอาชนะความตกต่ำได้ , รู้จักปล่อยวาง และมองคนที่เขาตกต่ำหรือลำบากกว่าเรา

#image_title

การให้คือพลังแห่งชีิวิต

การให้คือพลังแห่งชีิวิต

พลังแห่งการให้
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

มือของผู้ให้ย่อมอยู่เหนือมือของผู้รับ และเราจะเป็นสุขใจเมื่อเราได้เป็นผู้ให้
พลังแห่งการให้ เป็นบุคลิกลักษณะหนึ่งของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ เพราะคนที่ให้มักจะเป็นคนที่มีมากพอแล้ว เราถึงไม่แปลกใจว่าทำไม มหาเศรษฐีต่างๆ จึงตั้งมูลนิธิเพื่อบริจาค เงิน สิ่งของ อุปกรณ์ เครื่องมือ ฯลฯ แก่ผู้ที่ด้อยโอกาสกว่า ดังเช่น บิล เกตส์ มหาเศรษฐีชาวสหรัฐอเมริกา ได้ตั้งมูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ เพื่อช่วยเหลือด้านสุขอนามัย และด้านคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนในประเทศกำลังพัฒนา
พลังแห่งการให้ จะเป็นตัวช่วยให้คุณร่ำรวยยิ่งขึ้น ตัวอย่าง ธุรกิจคอนวีเนียนสโตร์ “ เซเว่น อีเลฟเว่น ” ก่อกำเนิดมาจากร้านขายน้ำแข็งเล็กๆ ในเมืองดัลลัส มลรัฐเท็กซัส ของสหรัฐอเมริกา เปิดบริการขายน้ำแข็งตั้งแต่ เจ็ดโมงเช้าถึงห้าทุ่ม วันละสิบหกชั่วโมง ในขณะนั้น แต่เนื่องจากเจ้าของกิจการ “ เซเว่น อีเลฟเว่น ” มีพลังแห่งการให้ กล่าวคืออยากให้บริการแก่ผู้คนโดยมีสินค้าที่หลากหลายจึงได้เพิ่มสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น นม ขนมปัง สบู่ ยาสีฟัน ปากกา ดินสอ สมุดฯลฯ ต่อมา ด้วยพลังแห่งการให้บริการ เจ้าของกิจการ “ เซเว่น อีเลฟเว่น ” ต้องการให้บริการแก่ชาวอเมริกามากขึ้น จึงได้ขยายสาขาออกไปทั่วสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน ด้วยพลังแห่งการให้บริการ “ เซเว่น อีเลฟเว่น ” ใช้ระบบโดยการเปิดร้านตลอด 24 ชั่วโมงและมีสาขาเกือบทั่วโลก
พลังแห่งการให้ หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย ถามว่าแล้วเราจะให้อะไรแก่ผู้อื่นได้บ้าง ได้ครับ การเป็นผู้ให้ไม่ได้ยากเย็นอย่างที่ท่านคิด เราสามารถ ให้โดยการลงแรง ให้โดยการช่วยคิด ให้ความรู้ทางปัญญาและให้สิ่งต่างๆ เช่น
– การเข้าร่วมโครงการอาสาสมัครต่างๆ เพื่อบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ชุมชน
– การช่วยคนตาบอดหรือคนพิการ ข้ามถนน
– การให้หนังสือดีๆ สักเล่มหนึ่งหรือการให้กำลังใจ แก่คนที่ล้มเหลว เพื่อปลุกเร้าให้เขามีกำลังใจอีกครั้ง
– การช่วยเหลือ ทำความสะอาด แม่น้ำ ลำคลอง ถนน ที่สาธารณะต่างๆ
และมีอื่นๆ อีกมากมายที่คุณสามารถทำได้ เมื่อคุณได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น คุณจะมีความรู้สึกมีความสุข
ขึ้นมาทันที ดังนั้น หากว่าคุณอยากมีความสุข อยากที่จะประสบความสำเร็จ จงมีนิสัยเป็นผู้ให้หรือทำอะไรให้แก่โลกมากๆ แล้วสวรรค์ก็จะติดหนี้คุณ แต่ต้องเป็นการให้โดยน้ำใจที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน จงให้โดยไม่ต้องจดจำ
การให้เลือดโดยการบริจาค ก็เป็นตัวอย่างที่ดีอีกตัวอย่างหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อท่านได้บริจาคเลือดแล้ว สิ่งที่ได้ตอบแทนมาก็คือ เรื่องของสุขภาพของท่านก็จะดีขึ้น เนื่องจากร่างกายได้สร้างเลือดใหม่ที่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพมากกว่าเลือดเก่าที่บริจาคไป อีกทั้งยังช่วยให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของไขกระดูก กุศลของการบริจาคเลือดที่ได้กลับมาอีกอย่างก็คือ หากว่ามีการตรวจพบความผิดปกติในเลือดของท่าน สภากาชาดจะแจ้งให้ท่านทราบโดยทันที
พลังแห่งการให้ เป็นพลังหนึ่งของจักรวาล มันมีกฏเกณฑ์และผลลัพธ์เสมอ เพียงแต่คุณเป็นผู้ให้คนอื่นมากๆ คุณก็จะได้สิ่งต่างๆ กลับคืนมาเช่นกัน แต่จะเร็วจะช้า เท่านั้นเอง เช่น อาจารย์หรือวิทยากร ที่ให้ความรู้สอนผู้อื่นมากๆ อาจารย์หรือวิทยากรผู้นั้นก็จะมีความรู้ในเรื่องที่สอนมากขึ้นด้วย ฉะนั้น จงแจกจ่ายความรู้ให้แก่ผู้อื่นแล้วความรู้นั้นก็จะกลับมาหาท่านมากยิ่งขึ้น
ความสุขที่ยิ่งใหญ่ คือ ความสุขที่เกิดจากที่เราได้เป็นผู้ให้

#image_title