by drsuthichai | Nov 9, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
Promotion ทางการเมือง
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เมื่อใกล้วันเลือกตั้งการเมืองเกือบทุกระดับในปัจจุบัน เรามักจะเห็น พรรคการเมืองและนักการเมือง ได้นำการตลาดมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะการทำการ Promotion ทางการเมือง ดังจะสังเกตได้ตามป้ายโฆษณาหาเสียง สื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรศัพท์ ใบปลิว อินเตอร์เน็ต ฯลฯ
Promotion ทางการตลาด มีมากมายเหลือเกินที่ นักการเมืองขุดเอามาใช้ ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง ลด แลก แจก แถม การโฆษณา การขายภาพหัวหน้าพรรค การขายนโยบาย อีกทั้งมีรูปแบบที่มีความแหลกหลายในการใช้กลยุทธ์ต่างๆ จึงขอยกตัวอย่างในประเด็นที่สำคัญๆ ที่นักการเมืองนำ Promotion มาใช้ ดังนี้
1.การขายนโยบาย ลด แลก แจก แถม หรือ นโยบายประชานิยม เป็นนโยบายที่ได้นำการตลาดมาประยุกต์ใช้อย่างได้ผลค่อนข้างมาก ประชาชนคนเลือกตั้งหรือผู้บริโภค ถูกใจ อยากซื้อ หากว่า พรรคการเมืองหรือนักการเมือง นำมาใช้ได้อย่างโดนใจ ตัวอย่างเช่น พรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชาชน ได้นำเอามาใช้
โครงการกองทุนหมู่บ้าน(ที่ให้ทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท โดยเปิดโอกาสให้ชาวบ้านมากู้ยืมเงินไปทำอะไรก็ได้) , โครงการบ้านเอื้ออาทร , โครงการรถยนต์คันแรก , โครงการพักชำระหนี้เกษตรกร , โครงการแท็บแล็ต , โครงการค่าจ้างวันละ 300 บาท , โครงการเพิ่มเงินเดือน 15,000 บาท , โครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี , โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ , โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ฯลฯ
2.การขายผลิตภัณฑ์ประเภทบุคคล การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 จะเห็นได้ชัดเจนว่า 2 พรรคการเมืองใหญ่ มีการขายผลิตภัณฑ์ประเภทบุคคลอย่างเด่นชัด พรรคเพื่อไทย มีการขายตัวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ โดยผ่านการชูนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีสโลแกนว่า “ ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” และด้านพรรคประชาธิปัตย์ก็มีการขายภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งพรรคการเมืองทั้งสองพรรค ต้องใช้เงินอย่างมากมายมหาศาลในการทำการประชาสัมพันธ์ การโฆษณา ตามสื่อต่างๆ
สำหรับการเลือกตั้งปี 2554 ที่ผ่านไปนั้น มีนักวิชาการและหน่วยงานต่างๆประเมินกันว่า การเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศแต่ละครั้งพรรคการเมืองต่างๆ ต้องใช้จ่ายเงินในการทำการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆมากถึง 20,000 ล้านบาทเลยทีเดียว ดังข้อมูลของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สคช.)หรือสภาพัฒน์ได้ประมาณการณ์ว่าน่าจะมีเม็ดเงินสะพัดมากกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงปี 2548 และ 2550(1) ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยคาดตัวเลขอยู่ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท , ด้านศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินไว้สูงกว่านั้น คือคาดว่าในช่วงก่อนการเลือกตั้งน่าจะมีเม็ดเงินสะพัดเข้ามาในระบบ 4-5 หมื่นล้านบาท(ข้อมูลจาก ประชาไทย.com)
3.การขายผ่านการตลาดแบบหลายชั้น MLM นับตั้งแต่พรรคไทยรักไทย ได้มีการระดมสมาชิกพรรคได้เป็นจำนวนมากทั่วทั้งประเทศ อีกทั้งยังมีการระดมเครือข่ายคนเสื้อแดง จึงทำให้เป็นฐานคะแนนแก่พรรคเพื่อไทย เช่นกัน พรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการจัดตั้งสาขาไปทั่วประเทศ เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งจึงทำให้ทั้งสองพรรคการเมืองได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งมีสาขาน้อยกว่า สมาชิกน้อยกว่า มีศูนย์ประสานงานน้อยกว่า ทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่
4.การขายผ่านการตลาดแบบดึง เป็นการหาเสียงรณรงค์โดยผ่านสื่อต่างๆให้เกิดความคลอบคลุมกับประชาชนผู้เลือกตั้งมากที่สุด โดยเฉพาะสื่อสารมวลชน(สื่อกระจายเสียง,สื่อสิ่งพิมพ์,สื่อภาพยนตร์) สื่อสมัยใหม่(อินเตอร์เน็ต) เพื่อให้เกิดความสนใจ แล้วก่อให้เกิดการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
5.การขายผ่านการตลาดแบบทางตรง กล่าวคือเจาะจงไปยังตัวผู้เลือกตั้งแต่ละคนไปเลย เช่น การส่งจดหมายแนะนำตัวผู้สมัคร , การส่งสารอวยพร , การส่งประวัติ นโยบายพรรค ฯลฯ ทางไปรษณีย์หรือไปให้ถึงที่บ้านตัวต่อตัว
6.การขายผ่านนวัตกรรมใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา การเลียนแบบมักไม่เป็นที่จดจำ แต่หากใครทำอะไรใหม่ๆหรือเป็นคนแรกแล้วประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นที่จดจำแก่ประชาชนได้มากกว่า ถามว่าทำไมอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ จึงประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง เหตุหนึ่งก็คือ เขาได้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆออกมาตลอดเวลาในช่วงเป็นนายกรัฐมนตรี เช่น การทำการตลาดเรียลิตี้โชว์วิธี “ แก้จน ” ที่อำเภออาจสามารถ , การแสดงความคิดหรือการที่จะขายหุ้นเพื่อซื้อทีมฟุตบอล(ซึ่งไม่ได้ทำ),การประชุมการหาเสียงผ่านวิดีโอลิงก์ ฯลฯ อีกทั้ง คุณทักษิณ เล่นกับสื่อเป็น จะเห็นได้ว่า ข่าวของคุณทักษิณ จะออกอยู่เป็นประจำไม่ว่าตอนอยู่ภายในประเทศหรือปัจจุบันอยู่ต่างประเทศ ก็ยังมีข่าวออกอยู่
สำหรับปัจจัยเสริมที่ทำให้การทำ Promotion ทางการเมือง ประสบความสำเร็จ ก็คือ พรรคการเมืองที่ทำการสำรวจความต้องการ สำรวจความนิยม(Polling) อยู่อย่างสม่ำเสมอและเป็นประจำ จะทำให้รับรู้ความต้องการของประชาชนผู้เลือกตั้ง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ ยิ่งช่วงรณรงค์หาเสียงก็จะมีการจัดทำอย่างเป็นระบบ จึงทำให้รู้ความต้องการและคาดเดาความต้องการในพื้นที่เลือกตั้งแต่ละแห่งได้
การทำ Promotion ทางการเมือง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคปัจจุบัน เพราะในปัจจุบันประเทศที่เป็นประชาธิปไตย และพรรคการเมืองที่ต้องการจะได้รับชัยชนะมักใช้การตลาดมาช่วยไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีโอบามา ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งก็เพราะการนำการตลาดมาใช้ เช่น การนำเอาสื่อสมัยใหม่ การนำเอา Social Network มาใช้จนประสบความสำเร็จอย่างสูง การมีโลโก้ มีสโลแกน การขายตัวบุคคลคือขายตัวโอบามาเอง
สรุป การเมืองไทยคงยังต้องมีการใช้ศาสตร์ทางการตลาดเข้ามาผสมผสาน เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในการแข่งขันเลือกตั้ง ซึ่งพรรคการเมือง นักการเมือง คนใด สามารถเลือกใช้ศาสตร์ทางการตลาดได้อย่างถูกต้องและถูกจังหวะก็จะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ไม่มีศิลป์ ในการนำเอาไปใช้ เพราะการตลาดเป็นทั้งศาสตร์กล่าวคือ สามารถทำการศึกษาได้จากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจากการอ่านหนังสือ การเรียนในชั้นเรียน การสอบถามผู้รู้ แต่สิ่งที่ทำให้เกิดการแตกต่างกันก็คือ ศิลป์ เพราะถ้าใครรู้จักประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม ตรงสถานการณ์ก็จะได้ผลสำเร็จมากกว่าคนที่ประยุกต์ใช้ไม่เป็นหรือประยุกต์ใช้ไม่เก่ง ท่านผู้อ่านก็สามารถนำศาสตร์ทางการตลาดไปใช้กับการเมืองได้เช่นกัน ถ้าหากท่านมีความต้องการที่จะนำไปประยุกต์ใช้

#image_title
by drsuthichai | Nov 9, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
การตลาดบนอินเตอร์เน็ต
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
อินเตอร์เน็ต(Internet) หรือ Inter-connecting Network เป็นสื่อสมัยใหม่ที่ได้รับความนิยมเป็นอันมากในปัจจุบันและในโลกแห่งการสื่อสารในอนาคต เราสามารถรับข้อมูลต่างๆ ผ่านอินเตอร์เน็ตในรูปแบบต่างๆ เช่น ภาพ ข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหว ฯลฯ ได้อย่างรวดเร็ว
นักการตลาด จึงต้องให้ความสำคัญกับการทำการตลาดผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต อินเตอร์เน็ตได้ถือกำเนิดมาเมื่อปี 2512 สำหรับเมื่อไทยนำเข้ามาใช้เมื่อปี 2530 โดยสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย(AIT) แล้วขยายตัวมาเรื่อยๆจนปัจจุบัน คนรุ่นใหม่เกือบทุกคนใช้อินเตอร์เน็ตเป็น
ข้อดีของการใช้สื่ออินเตอร์เน็ตในงานประชาสัมพันธ์
1.สามารถเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสาร ได้ทั่วโลก
2.อินเตอร์เน็ต สามารถให้ข้อมูลที่ใกล้เคียงกับความจริงได้มากกว่าหลายๆสื่อ เช่น คลิปจาก Youtube ทำให้เห็นภาพเคลื่อนไหว (ข่าวน้ำท่วม แผ่นดินไหว) ซึ่งใกล้เคียงกันกับอยู่ในสถานที่จริงได้มากกว่า การอ่านข่าวหรือเห็นภาพจากหนังสือพิมพ์
3.อินเตอร์เน็ต มีค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ถูกกว่าสื่ออื่นๆ หรือ อาจจะไม่เสียค่าใช้จ่ายเลยก็ได้
4.การใช้สื่ออินเตอร์เน็ตทำให้ภาพลักษณะของสินค้าและภาพพจน์ขององค์กรมีความทันสมัย
5.อินเตอร์เน็ต สามารถสร้างกลุ่มแฟนคลับหรือสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ง่ายขึ้น เช่น Facebook
6.อินเตอร์เน็ต รับการตอบสนองได้ไวกว่าสื่ออื่นๆ (Feedback) เช่น มีการถามตอบได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลารอ
7.อินเตอร์เน็ต สามารถค้นหาข้อมูลต่างๆทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย เช่น การใช้ Search Engine (Google)
ข้อจำกัดของสื่ออินเตอร์เน็ต คือ ผู้ใช้มีอย่างจำกัด เพราะต้องใช้กับคอมพิวเตอร์ มือถือรุ่นใหม่ ต้องมีอุปกรณ์ต่อพ่วง มีสัญญาณเครือข่าย ถึงจะสามารถเล่นอินเตอร์เน็ตได้ อีกทั้งคนรุ่นเก่าเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถเล่นอินเตอร์เน็ตเป็นก็ไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้เหมือนกับคนรุ่นใหม่
นักการตลาดจะใช้สื่อนี้ให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างไร
นักการตลาดจำเป็นจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับสื่ออินเตอร์เน็ตให้มากขึ้น เพื่อให้เข้าใจถึงการใช้สื่อ เช่น การสร้างเว็บไซค์ , การใช้ Youtube , การรับส่งอีเมล์(E-mail) , การเชื่อมโยงหรือลิงค์(links) เป็นต้น
การสร้างเว็บไซค์ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะ เว็บไซค์ เปรียบเสมือนหน้าร้าน แต่เป็นหน้าร้านทางอินเตอร์เน็ต หากหน้าร้านดูไม่สวย ไม่ทันสมัย ไม่ดูดี ผู้ชมก็ไม่สนใจติดตามชม อีกทั้งภายในเว็บไซค์ ควรมีข้อมูลให้ครบถ้วนด้วย เช่น ชื่อองค์กร , ประวัติ ,ที่ตั้ง , ผลิตภัณฑ์,สินค้า, บริการ ,ข่าวประชาสัมพันธ์, ที่อยู่ , เบอร์โทรศัพท์ ฯลฯ
การใช้อีเมล์(E-mail) ก็มีความสำคัญ เราสามารถรับส่งข้อมูลผ่าน E-mail ทางอินเตอร์เน็ตโดยใช้เวลาแค่วินาทีเดียว ซึ่งแตกต่างกันอดีต หากว่าต้องการส่งข้อมูลข่าวสารไป อเมริกา เราต้องเสียเวลาเป็น อาทิตย์ ข้อมูลข่าวสารจึงจะไปถึงผู้รับ แต่ปัจจุบัน เราแค่ใช้นิ้วกด วินาทีเดียว ก็ส่งถึงยังผู้รับได้อย่างง่ายดาย
ทั้งนี้ การตลาดบนอินเตอร์เน็ต จะประสบความสำเร็จหรือไม่ คงต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ผู้บริหารให้ความสำคัญและให้ความร่วมมือหรือไม่ , ผู้บริหารเข้าใจสื่ออินเตอร์เน็ตมากน้อยแค่ไหน,ความร่วมมือภายในองค์กรมีมากน้อยแค่ไหน เพราะต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานหรือฝ่ายอื่นๆด้วย (นักการตลาด กับ ฝ่ายเทคโนโลยี และฝ่ายตลาด,ฝ่ายอื่นๆที่ต้องทำงานร่วมกัน)

#image_title
by drsuthichai | Nov 9, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด ภาษาอังกฤษมักเรียกว่า Integrated Marketing Communication หรือเรียกย่อว่า IMC เป็นการพัฒนาการสื่อสารการตลาดที่นำการสื่อสารหลายๆรูปแบบมาผสมผสานกันอย่างต่อเนื่องเพื่อไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพื่อให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของ IMC จึงขออ้างอิงคำอธิบายของนักวิชาการดังนี้
Shimp (2000: 124) ได้ นิยามความหมายของการสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการว่า เป็นกระบวนการของการพัฒนาและการใช้รูปแบบต่างๆ ของโปรแกรมการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจผู้บริโภคตามเป้าหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลกระทบโดยตรงต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค
American Association of Advertising Agencies (cited in Belch and Belch, 2004: 242) ได้ให้ความหมายของ IMC ว่า เป็นแนวความคิดของการวางแผนการสื่อสารการตลาดที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าเพิ่ม โดยการผสมผสานรูปแบบการสื่อสารต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดความชัดเจน กลมกลืน
Russell and Lane (2002: 391)ให้ความหมายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการว่า เป็นการสื่อสารการตลาดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงการโฆษณา หรือการประชาสัมพันธ์เท่านั้น แต่เป็นการทำความเข้าใจในสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการอย่างแท้จริง จากนั้นจึงคิดและวางแผนให้การสื่อสารทั้งหมดขององค์กรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ซึ่งการทำ IMC ต้องอาศัยกระบวนการที่หลากหลายและอย่างเป็นระบบ กล่าวคือต้องเริ่มต้นจากการวิเคราะห์สภาวะทางการตลาด กลุ่มเป้าหมาย มีการจัดกิจกรรมพิเศษ มีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ มีการส่งเสริมการขาย และเครื่องมือต่างๆอีกมากมาย
ทำไมธุรกิจต่างๆ องค์กรต่างๆ หน่วยงานต่างๆ จะต้องทำ IMC เพราะการสื่อสารเป็นส่วนประสมหนึ่งที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากการสื่อสารจะทำให้ลูกค้า ประชาชน ผู้บริโภค ผู้ใช้บริการ ได้รับทราบข้อมูล ข่าวสารต่างๆ อีกทั้งยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร
IMC มีความจำเป็นแค่ไหน มีความจำเป็นเป็นอันมากในยุคปัจจุบันและอนาคต ตามความเป็นจริงแล้วในยุคปัจจุบัน เราต้องยอมรับกันว่า สื่อต่างๆมีมากขึ้น สื่อบางอย่างที่นิยมในอดีตมีราคาแพงขึ้น ผู้บริโภค สามารถรับสื่อต่างๆได้อย่างมากมายกว่าในอดีต
IMC กับการส่งเสริมตราสินค้า IMC สามารถส่งเสริมตราสินค้าได้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตราสินค้า มีความสัมพันธ์กับราคา ความคุ้มค่า หากว่าตราสินค้าไหน เป็นที่รู้จักมาก โอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสินค้า บริการ ก็ยิ่งจะมีมากขึ้น อีกทั้งในยุคปัจจุบัน มีคู่แข่งรายใหม่ๆ เข้ามาสู่ตลาดมากขึ้น หากไม่มีการทำ IMC ก็จะถูกแย่งลูกค้าไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น เราจำเป็นที่จะต้องมีการสื่อสารตราสินค้า อันได้แก่ การโฆษณา,การขายโดยพนักงานขาย,การประชาสัมพันธ์,การส่งเสริมการขาย,การจัดโชว์รูม,การใช้ยานพาหนะของบริษัทเคลื่อนที่,การใช้ป้ายต่างๆ,การใช้สื่อทางอินเตอร์เน็ต,การจัดนิทรรศการ,การใช้ผลิตภัณฑ์เป็นสื่อ เป็นต้น
IMC ที่ยอดเยี่ยมมักจะต้อง ใหม่ แปลก ใหญ่ ดัง กล่าวคือ หากทำสื่อต่างๆ ออกมาเหมือนกับคู่แข่งในท้องตลาด ก็จะไม่ได้รับความสนใจจากลูกค้าเท่าที่ควร ตรงกันข้าม หากว่าเราทำสื่อต่างๆออกมาอย่างสร้างสรรค์ให้ 1.ใหม่ 2.แปลก 3.ใหญ่ 4.ดัง หากเป็นลักษณะนี้ ก็จะสร้างความจดจำและเป็นที่ประทับใจของลูกค้าได้มากกว่า
1.ใหม่ คือ ถ้าทำอะไรเป็นเจ้าแรก มักจะทำให้เกิดเป็นที่จดจำได้มากกว่า
2.แปลก คือ ถ้าทำอะไรให้แตกต่างกว่าคนอื่น มากจะได้รับความสนใจที่ดีกว่า
3.ใหญ่ คือ ถ้าทำอะไรให้ยิ่งใหญ่กว่าคู่แข่ง จะทำให้คนมาร่วมงานมาก ภาพลักษณ์ก็จะเหนือกว่า
4.ดัง คือ ถ้าทำอะไรต้องมีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ให้คนรับรู้ อีกทั้งควรมีคนดังๆ มาร่วมงาน มาเปิดงาน เช่น นักการเมืองดัง นักกีฬาดัง ดารา นักแสดงดัง ก็จะทำให้เป็นที่สนใจ
IMC กับ การประชาสัมพันธ์ ธุรกิจยุคปัจจุบัน มักให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ องค์กรหลายแห่งในยุคปัจจุบัน ถึงกับสนับสนุนและให้ความสำคัญในการทำประชาสัมพันธ์มากกว่าการทำการโฆษณาเสียอีก เพราะ การประชาสัมพันธ์ใช้จ่ายในการซื้อสื่อน้อยกว่าการโฆษณาซึ่งจะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากในการซื้อสื่อ อีกทั้งยังได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่า ซึ่งเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ที่สำคัญๆ ได้แก่ การให้ข่าว การสัมภาษณ์ การสร้างสื่อมวลชนสัมพันธ์ การสร้างชุมชนสัมพันธ์ การจัดกิจกรรมพิเศษ การทำการกุศล เป็นต้น
IMC กับ การทำการตลาด บน Facebook ในยุคนี้ หากบริษัทใดไม่ทำการตลาดใน Facebook ก็มักจะเสียเปรียบคู่แข่งขัน เพราะการทำการตลาดบน Facebook มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ทันสมัย , เป็นสื่อที่มีราคาถูก , เป็นสื่อที่มีความไวต่อการรับรู้ข้อมูล , เป็นสื่อที่สามารถเชื่อมโยงไปยังสื่อต่างๆโดยเฉพาะเครือข่ายสังคมออนไลน์อื่นๆได้เป็นอันมาก , อีกทั้งเรายังสามารถทำการโฆษณาสินค้า บริการผ่านกลุ่มคนในเครือข่ายได้อีกด้วย
Facebook สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิด เช่น การเขียนบล็อก เชื่อมโยง Twitter เชื่อมโยง Youtube ทำสไลด์ฟรีเซนเตชัน ดึงข่าวเทรนด์ตลาดมาแสดงในFacebook(Social RSS) , MSN Messenger , Yahoo Messenger , Skype เพื่อสร้างความสัมพันธ์คุยธุรกิจกับลูกค้า เป็นต้น
IMC กับ การโฆษณา การโฆษณามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการทำการตลาด แต่ทั้งนี้ เราควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆด้วย เช่น งบประมาณในการทำโฆษณามีจำนวนเท่าไร , ควรใช้สื่อใดในการทำโฆษณา , ควรสร้างโฆษณางานโฆษณาอย่างไร , ใครคือกลุ่มเป้าหมายของการโฆษณา , บุคลิกภาพของสินค้าสัมพันธ์กับสื่อโฆษณาหรือไม่ เป็นต้น
IMC กับ พรรคการเมือง ในปัจจุบันพรรคการเมืองเกือบทุกพรรคของไทย นิยมใช้การตลาดมาประยุกต์ใช้กับการเมือง เช่น ตราสินค้า(Brand Name) อันได้แก่ชื่อพรรค (เพื่อไทย,ประชาธิปัตย์,ชาติไทยพัฒนา) , มีสโลแกน ( คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน ) และมีการเลือกใช้วิธีการสื่อสารตราสินค้า(Brand contact point) เช่น การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขาย การขายโดยใช้พนักงานขาย การใช้ผลิตภัณฑ์เป็นสื่อ การใช้ยานพาหนะเคลื่อนที่ การตลาดเจาะตรง แผ่นพับ ฯลฯ จึงไม่ต้องแปลกใจที่พรรคการเมืองต่างๆในยุคปัจจุบัน มีความจำเป็นจะต้องใช้งบประมาณอย่างมากมายมหาศาล
IMC กับ CSR (Corporate Social Responsibility) การทำกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม หากบริษัทใดไม่มีการทำ IMC ก็จะทำให้ประชาชนไม่ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหว แต่ตรงกันข้ามบริษัทใด องค์กรใด เสียงบประมาณน้อยกว่า หรือทำน้อยกว่า แต่ทำ IMC ไปด้วย ก็จะทำให้เป็นที่รู้จักของประชาชน
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า การทำ IMC จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าต่อหน่วยงานใด องค์กรใด หากทำ IMC ก็จะทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ ทำให้เกิดรายได้ ทำให้เกิดกำไร ต่อธุรกิจและต่อบริษัท

#image_title
by drsuthichai | Nov 8, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
ยุทธวิธีการตลาด
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า การตลาดมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะการตลาดสามารถปรับใช้กับการทำงานต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นงานด้านธุรกิจ การเมือง ราชการ ศาสนา การบริหาร ทุกๆวงการ สามารถนำการตลาดไปปรับใช้ภายในงานของตนเองได้
ผู้บริหารในองค์กรต่างๆ จึงหลีกเลี่ยงการตลาดไม่ได้ แต่ในทางกลับกัน หากผู้บริหารท่านใดมีหัวใจเป็นนักการตลาด ก็จะยิ่งทำให้องค์กรนั้น มีความเข้มแข็ง เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งยุทธวิธีการตลาดมีหลากหลายรูปแบบ ดังนี้
1.ยุทธวิธีการตลาดแบบปากต่อปาก เป็นการทำการตลาดโดยผ่านการสื่อสารโดยเฉพาะจากคำพูดแบบปากต่อปาก ตลอดจนการกระตุ้นให้เกิดคำพูดที่ทรงพลัง ในปัจจุบันเราสามารถเผยแพร่ข่าวสารให้แก่ผู้บริโภคให้ทราบสินค้าและบริการของเราได้หลายวิธี แต่การตลาดแบบปากต่อปาก เป็นยุทธวิธีที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้เลย มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันได้เป็นอย่างดี เช่น
ทุกๆปี บริษัทภาพยนตร์ ได้ทำการสำรวจว่า ลูกค้าที่เข้าชมภาพยนตร์แต่ละเรื่อง รับรู้ข้อมูลจากภาพยนตร์จากช่องทางใดบ้าง คำตอบที่มักจะได้รับคือ เกิดจากการบอกเล่าต่อๆกัน แบบปากต่อปาก โดยผ่านจากผู้เข้าชมภาพยนตร์เรื่องนั้นๆแล้วทำการแนะนำต่อๆกันไปหรือบอกให้กับคนรู้จักให้เข้าไปดู 70 เปอร์เซ็นต์ ของคนที่ตัดสินใจเลือกแพทย์ประจำตัว มักเกิดจากคำแนะนำของบุคคลที่รู้จัก
อีกทั้งยุทธวิธีการตลาดแบบปากต่อปาก ในยุคปัจจุบันมีพลังมากมายอย่างยิ่งโดยผ่านสื่อต่างๆ เช่น ผ่าน โซเชียลมีเดีย หรือ Social Media คือ สื่อสังคมออนไลน์ โดยผ่านเครือข่ายทางอินเตอร์เน็ต(Facebook,ไลน์ ,Youtube,twitter) , การส่งอีเมล์ ความคิดเห็นต่างๆ ถึงเพื่อนฝูง , นำเสนอความคิดหรือคำพูดของตนผ่านทางเวปไซค์ของตนเอง เป็นต้น
2.ยุทธวิธีการสร้าง แบรนด์ หรือ Brand การทำการตลาดสมัยใหม่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการที่จะต้องสร้าง Brand เพราะการสร้าง Brand จะทำให้ถูกซื้อ จะทำให้เป็นที่จดจำ จะทำให้มีเอกลักษณ์ จะทำให้มีความชัดเจน และจะทำให้สินค้าที่ถูกสร้างผ่าน Brand มีราคาที่สูงขึ้น แต่ในทางกลับกัน สินค้าที่ไม่ได้มีการสร้าง Brand จะต้องถูกขาย จะถูกลืมได้ง่าย สินค้าจะถูกมองว่าเป็นแค่ของซื้อของขาย มีความชัดเจนต่ำ และทำให้สินค้าขายได้ในราคาที่ต่ำอีกด้วย
3.ยุทธวิธีการรุกและการตั้งรับ การทำการตลาดที่ดี ไม่ใช่ว่าจะรุกหรือบุกตลาดตลอดเวลา อีกทั้งการทำการตลาดที่ดีก็ไม่ควรตั้งรับตลอดเวลา แต่การทำการตลาดที่ดี ควรมีทั้งการรุกและการตั้งรับ สลับกันไปตามสถานการณ์นั้นๆ ดังคำพูดของคุณเทียม โชควัฒนา เร็ว ช้า หนัก เบา “ในการทำงานนั้น ควรหมั่นพิจารณาอยู่เสมอว่า งานไหนทำก่อน งานไหนทำทีหลัง งานไหนต้องจริงจัง และงานไหนที่พอควร”
นักการตลาดก็เช่นกัน ควรทำการปรับยุทธวิธีการตลาดให้ถูกจังหวะกับสถานการณ์ต่างๆ
4.ยุทธวิธีสร้างภาพลักษณ์ การทำการตลาดสมัยใหม่ ต้องทำเพื่อสังคมด้วย หากหวังแต่กำไรฝ่ายเดียว ธุรกิจก็คงอยู่ได้ไม่นาน เช่น การเสริมสร้างสังคม ให้เงินช่วยเหลือ ทำบุญ ทำกุศล บริจาค แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง จึงจะทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี
5.ยุทธวิธีการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสทอง การทำธุรกิจหรือทำกิจกรรมใดๆ เมื่อทำไปนานๆ บางช่วงเวลาก็อาจประสบปัญหา เกิดวิกฤต นักการตลาดชั้นเซียน ที่มากด้วยความสามารถจึงสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสทองได้
6.ยุทธวิธีแห่งการสร้างสรรค์ หากนักการตลาดทำแบบเดิมๆ ผลที่ออกมาก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ตรงกันข้าม หากนักการตลาดลองทำวิธีการใหม่ๆ หานวัตกรรมใหม่ๆ ดังคำที่ผู้ประสบความสำเร็จหลายคนเคยกล่าวว่า “ ผู้ชนะคือผู้กำหนดเกมส์ ส่วนผู้แพ้คือผู้เล่นตามเกมส์ของผู้อื่น” หากท่านต้องการเป็นผู้ชนะทางการตลาด ท่านจึงควรกำหนดเกมส์ทางการตลาดใหม่ๆให้นักการตลาดคนอื่นๆเล่นตามเกมส์ของท่าน
7.ยุทธวิธีแห่งความบันเทิง หลายธุรกิจในยุคปัจจุบัน มักใช้ความบันเทิง ความสนุก ความรื่นเริง มาผสมผสานกับการตลาดเพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ เช่น การมีกิจกรรมต่างๆให้ลูกค้าได้เข้าร่วมสนุกสนาน , การประกวดร้องเพลง , การชิงโชค , การสร้างความบันเทิงจากการโฆษณาต่างๆ ฯลฯ
8.ยุทธวิธีลูกค้าคือพระเจ้า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง ผู้บังคับบัญชาของเขาไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นลูกค้าของเขาหรือประชาชนนั่นเอง เพราะถ้าประชาชนไม่พอใจการทำงาน การเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนก็จะไม่เลือก การขายมีความสำคัญก็จริงอยู่แต่การบริการก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะถ้าหากบริการไม่ดี ถูกลูกค้าต่อว่า ก็เป็นเหตุให้สูญเสียฐานลูกค้าไป การสร้างลูกค้าใหม่มีความสำคัญแต่ก็ไม่ใช่จะสร้างกันง่ายๆ แต่การรักษาฐานลูกค้าเก่าทำได้ง่ายและมีต้นทุนที่ถูกกว่าไม่ใช่หรือ
9.ยุทธวิธีขยายฐานลูกค้าของตัวเองตลอดเวลา เราลองไปสังเกตดูพวกที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยเป็นเศรษฐีเขาจะร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ ตามขนาดของฐานลูกค้าของเขา ตัวอย่าง ร้าน 7-11 หรือ เซเว่น อีเลฟเว่น ธุรกิจคอนวีเนียนสโตร์ หุ้นราคาเพิ่มขึ้น เจ้าของร่ำรวยขึ้น ตามขนาดและจำนวนของสาขาที่เพิ่มขึ้นในทุกๆวัน
10.ยุทธวิธีการนำเสนอสินค้า ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การมีสินค้าให้ลูกค้าได้เลือก มีความหมายต่อการทำธุรกิจในระยะยาว หากเราเดินเข้าไปซื้อสินค้าในร้าน 2 ร้าน ร้านที่ 1 มีสินค้าให้ท่านเลือกในจำนวนจำกัดหรือมีน้อยชิ้น แต่ในร้านที่ 2 มีสินค้าให้ท่านได้เลือกมากมาย หลากหลาย ถามว่าเราหรือคนส่วนใหญ่จะเข้าร้านไหน คำตอบของคนส่วนใหญ่รวมทั้งตัวเราเอง มักจะเลือกร้านที่ 2 มากกว่า จริงไหมครับ
11.ยุทธวิธีการระดมนักการตลาดที่เก่งๆมาช่วยงาน หากมีคนไปสัมภาษณ์บรรดาเศรษฐีระดับประเทศหรือมหาเศรษฐีระดับโลก ว่าการนำนักการตลาดเก่งๆ เข้ามาช่วยทำงานในองค์กรจะเกิดอะไรขึ้น บรรดาเศรษฐีทุกๆคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกัน ว่า “ มันมีความจำเป็นและมีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะนำคนเก่งๆเข้ามาทำงานในองค์กร”
12.ยุทธวิธีสร้าง Network Marketing หรือ เน็ตเวิร์ก มาร์เก็ตติ้ง การสร้างเครือข่ายมีความสำคัญและจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะการสร้างเครือข่ายจะทำให้เราได้ลูกค้ามากขึ้น การสื่อสารกับลูกค้าจะง่ายขึ้น ประหยัดต้นทุน ทำให้ทำงานได้คล่อง มีฐานผู้ร่วมทุน ฐานลูกค้าที่มากมายมหาศาล
ดังนั้น ยุทธวิธีต่างๆที่ได้กล่าวไปข้างต้น จึงเป็นส่วนที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการทำการตลาด นักการตลาดที่เก่ง มักจะเป็นนักการตลาดที่ไร้กระบวนท่า กล่าวคือ ไม่ติดยึดในหลักการ หลักทฤษฏี มากจนเกินไป แต่จะเป็นนักปฏิบัติที่สามารถหยืดหยุ่น ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆได้ มีลูกเล่น ลูกล่อ ลูกชน มีการรุกและการตั้งรับ ในทุกโอกาส อีกทั้งจะไวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะเรื่องของความต้องการของลูกค้า
ท่านผู้อ่านก็สามารถเป็นสุดยอดนักการตลาดได้ ด้วยการฝึกฝน พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดนิ่ง ยุทธวิธีการตลาดข้างต้น จึงเป็นแนวทางที่ท่านสามารถนำไปใช้หรือนำไปปฏิบัติได้ ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในการเป็นสุดยอดนักการตลาด

#image_title
by drsuthichai | Nov 8, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
ก้าวสู่ AEC ด้วยการตลาด E-Commerce
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ AEC หรือ Asean Economics Community คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ โดยมี ไทย, พม่า, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา และ บรูไน เพื่อที่จะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งจะมีรูปแบบคล้ายๆ กลุ่ม Euro Zone
สำหรับการเตรียมความพร้อมของประเทศไทย ในการเข้าสู่ AEC ในครั้งนี้ หลายฝ่าย หลายหน่วยงาน หลายกระทรวง ได้ให้ความสำคัญและมีการพูดถึงกันมาก ซึ่งหลายๆหน่วยงานได้มีการจัดให้ความรู้แก่ประชาชนในหลายๆ วิชา ไม่ว่าจะเป็นเรี่องของ กฎหมาย , การจัดการ, การบัญชี , การเงิน , ประกันภัย และอีกหลายวิชา
กระผมขอกล่าวถึงเฉพาะเรื่องของการตลาด E-Commerce หรือ “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” คำว่า “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” มีผู้ให้คำนิยามไว้หลายความหมาย เช่น
“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์” (ศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์, 2542)”
“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์” (WTO, 1998)
“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ธุรกรรมทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ทั้งในระดับองค์กรและส่วนบุคคล บนพื้นฐานของ การประมวลและการส่งข้อมูลดิจิทัลที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ” (OECD, 1997)
การตลาด E-Commerce มีความสำคัญมากในการทำธุรกิจ การบริหาร การจัดการ เพื่อทำให้องค์กรเกิดความก้าวหน้า เกิดกำไร เกิดความมีชื่อเสียง ทำไมต้องทำการตลาด E-Commerce สำหรับ AEC เพราะ โลกยุคนี้เป็น โลกของการรวมเป็นหนึ่ง โลกแห่งการสื่อสาร โลกแห่งเครือข่าย โลกแห่งการไร้ซึ่งขอบเขต ซึ่งทำให้ประเทศไทยและหน่วยงานธุรกิจจะต้องทำงานค้าขายร่วมกับประเทศต่างๆ มากยิ่งขึ้น
หากพูดถึงเรื่องของการตลาดในยุคก่อน เรามักมีการใช้การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ แต่ยุคนี้ สื่อที่มีความสำคัญและมาแรงมาก ได้แก่ สื่อทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีคนใช้การเกือบครึ่งโลก การตลาดแบบ E-Commerce จึงเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้สำหรับการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน
ข้อมูลประเทศใน AEC ที่ใช้ อินเตอร์เน็ต ประเทศสิงคโปร์มีประชาชนใช้อินเตอร์เน็ต เกือบ 100 % (เนื่องจากประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆและมีประชากรไม่มากนัก) รองลงได้แก่ประเทศ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์
สำหรับช่วงเวลา ชั่วโมง ในการเล่นอินเตอร์เน็ตของคนในประเทศ AEC ที่ใช้เวลาในการเล่นอินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมากที่สุด ได้แก่ เวียดนาม ไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ตามลำดับ
ด้านแนวโน้มการใช้อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้งานผ่านอินเตอร์เน็ตของคนไทย ในอนาคต คนไทยจะเล่นอินเตอร์เน็ตผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ในจำนวนที่ลดน้อยลง แต่คนไทยจะเล่นอินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือและTablet มากขึ้น และราคาโทรศัพท์และราคา Tablet ก็จะมีราคาที่ถูกลง
ข้อมูลในปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรประมาณ 66 ล้านคน คนไทยใช้อินเตอร์เน็ต 20 ล้านคน เรามีการใช้โทรศัทพ์มือถือเป็นจำนวนมาก บางคนใช้ 2-3 เครื่อง มีการเล่นอินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นจำนวนถึง 26 เปอร์เซ็นต์ มีการใช้ Social Network ถึง 18 ล้านคน การใช้อินเตอร์มากขึ้นในยุคปัจจุบัน จึงทำให้คนไทยคุยโทรศัพท์กันน้อยลง แต่จะคุยกันผ่านอินเตอร์เน็ตกันมากขึ้น
การที่คนไทยใช้อินเตอร์เน็ตกันมากในยุคปัจจุบัน ทำให้มีการทำธุรกรรมผ่าน Internet/Mobile Banking in Thailand กันมากขึ้น เพราะมีความสะดวก เสียค่าใช้จ่ายถูก รวดเร็ว ใช้ง่าย ซึ่งแต่ละธนาคารมีการลงทุน มีการจัดระบบ และมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้ามาใช้กันมากขึ้น
การซื้อขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในทุกๆปี ซึ่งสินค้าที่ขายดีในอินเตอร์เน็ต ยุคนี้ได้แก่ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์, เครื่องแต่งกายแฟชั่น , โรงแรมและการท่องเที่ยว,ผลิตภัณฑ์ยานยนต์,สิ่งพิมพ์เครื่องใช้สำนักงานและธุรกิจบริการ
ฉะนั้น หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการทำการตลาดผ่าน E-Commerce ท่านคงต้องมีวิธีการดูแลลูกค้าหรือมีการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งเราสามารถทำได้โดยผ่านทาง เจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์ , มีอีเมล์หรือส่งคำถามผ่านหน้าเว็บไซต์ , มีการใช้ระบบสนทนาลูกค้าผ่าน Live Chat เช่น MSN , Skype , Gtalk เป็นต้น
สำหรับ วิธีการประชาสัมพันธ์ธุรกิจก็มีความสำคัญไม่ใช่น้อย หากว่าท่านมีเว็บไซต์ มีระบบการตลาด E-Commerce ดี แต่ท่านไม่ได้ทำการโฆษณาและประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนมาใช้บริการของท่าน ก็จะทำให้สูญเสียโอกาสในการทำกำไร ท่านควรมีการทำการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ผ่านทั้งวิธีออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ธุรกิจจำนวนมากมีระบบ E-Commerec มีเว็บไซต์ที่ดีและสวยงาม แต่ไม่ได้ทำการโฆษณาและทำการประชาสัมพันธ์เป็นจำนวนมาก มากถึง 66 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
การมีเว็บไซต์มีความสำคัญมาก เพราะเว็บไซต์เปรียบเสมือนหน้าร้านค้า ซึ่งวัตถุประสงค์ของการจัดทำเว็บไซต์ E-Commerce ก็ เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการสั่งซื้อสินค้าบริการ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค เพื่อลดต้นทุนการบริหารงาน และเพื่อความทันสมัยทันยุคทันเหตุการณ์
ในการทำธุรกิจ E-Commerce เราสามารถให้ลูกค้ามาชำระสินค้าเราได้หลายทาง โดยผ่านทางออฟไลน์(โอนเงินเข้าบัญชีทางธนาคาร,โอนเงินชำระทางไปรษณีย์,ชำระกับพนักงานโดยตรง,จ่ายเงินผ่าน 7-11) หรือใช้วิธีการออนไลน์ (ตัดเงินผ่านอินเตอร์เน็ต ,ตัดผ่านบัตรเครดิต,ชำระผ่าน ATM )
ส่วนการจัดส่งสินค้าของธุรกิจ E-Commerce มีหลายวิธี ซึ่งปัจจุบันทำได้ง่ายดายกว่าในอดีต เช่น ใช้พนักงานขนส่งของบริษัทตนเอง, ส่งสินค้าผ่านทางไปรษณีย์(ซึ่งถือว่าพนักงานไปรษณีย์รู้สถานที่ต่างๆดีที่สุดและมีมาตราฐานระยะเวลาในการจัดส่งที่ได้มาตราฐานมีระบบตรวจเช็คประกันสินค้า),การใช้บริการขนส่งสินค้าผ่านบริษัทเอกชน, การส่งข้อมูลต่างๆผ่านทางออนไลน์ เป็นต้น
อุปสรรคที่สำคัญ ที่ก่อให้เกิดปัญหาในการจัดส่งสินค้า ได้แก่ ราคาค่าขนส่งมีราคาที่สูง , การส่งสินค้ามีความล่าช้าในการจัดส่ง , ไม่มีการรับประกันการส่งมอบสินค้า, คุณภาพในการจัดส่งไม่มีมาตรฐาน, ขั้นตอนในการจัดส่งยุ่งยากไม่สะดวก เป็นต้น
ในแง่ของพฤติกรรมของลูกค้าที่เป็นอุปสรรคต่อพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรือ E-Commerce คือ ลูกค้ากลัวปัญหาการฉ้อโกง เพราะลูกค้าต้องส่งเงินไปก่อนแล้วได้รับสินค้าในภายหลัง , กลัวได้รับสินค้าไม่ตรงตามที่โฆษณาเพราะไม่ได้เห็นสินค้าก่อนการสั่งซื้อดูแต่รูปภาพ , ไม่มีความเชื่อมั่นในการชำระเงิน , ลูกค้ามีความกลัวในการขโมยข้อมูลบัตรเครดิต , ลูกค้ามีความต้องการให้ผู้ขายพูดคุยมากกว่าการติดต่อกันทางอินเตอร์เน็ต , ลูกค้ากลัวการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล ฯลฯ
สำหรับสินค้าประเภท OTOP ของไทยซึ่งมีจำนวนมาก หากต้องการขายสินค้าผ่าน E-Commerce ก็คงต้องมีการพัฒนาหีบห่อ มีการพัฒนาคุณภาพของสินค้า อีกทั้งต้องมีระบบการจัดส่งสินค้าที่ดีอีกด้วย
หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการทำการตลาด E-Commerce ท่านควรหารูปแบบในการขายสินค้าและการทำการตลาดเป็นของตนเอง เช่นท่านต้องมีหน้าร้านออนไลน์ ท่านต้องมีการพนักงานรับโทรศัพท์ ท่านต้องมีการจัดระบบที่ดีคือ มีการจัดการสินค้าและข้อมูลสินค้า มีกระบวนการดำเนินการซื้อขาย มีการให้บริการชำระเงิน มีการจัดส่งที่มีมาตรฐาน และมีฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์(ให้บริการช่วยเหลือและให้ข้อมูลสินค้าแก่ลูกค้า ให้บริการตอบข้อซักถามเกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้า บริการหลังการขายสินค้าหากมีปัญหา แจ้งสถานการณ์สั่งซื้อสินค้าตั้งแต่การแจ้งให้ชำระเงิน) มีการบริการหลังการขาย ซึ่งทั้งหมดนี้เราต้องมีการสื่อสารการตลาดที่ดีด้วย
การทำการตลาดผ่าน E-Commerce จึงมีข้อดีดังนี้ เราสามารถเปิดดำเนินการค้า 24 ชั่วโมงผ่านโลกอินเตอร์เน็ต , เราสามารถดำเนินการค้าอย่างไร้พรมแดนทั่วโลกอีกทั้งยังตัดปัญหาด้านการเดินทาง , มีการใช้งบประมาณลงทุนน้อย เป็นการประหยัดเวลาและต้นทุนในการรับส่งสินค้าและบริการ, ง่ายต่อการประชาสัมพันธ์โดยสามารถประชาสัมพันธ์ได้ทั่วโลกและบริษัทผู้ผลิตสามารถขายสินค้าให้ลูกค้าโดยตรง สำหรับข้อเสีย อาจมีอยู่บ้าง เช่น หลายประเทศไม่มีกฎหมายรองรับสำหรับผู้ซื้อผู้ขาย , ไม่มีการดำเนินการทางภาษีที่ชัดเจน ,ผู้ซื้อและผู้ขายต้องมีความรู้ทางเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ใช้บริการ E-Commerce ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ซื้อของออนไลน์เป็นประจำ, ผู้ใช้งาน Internet เป็นประจำ, ผู้ที่มีความต้องการหาสินค้าแปลกใหม่,ผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการซื้อ ฯลฯ
สรุป ก้าวสู่ AEC ด้วยการตลาด E-Commerce หากว่าท่านต้องการขยายฐานการตลาดให้ใหญ่ขึ้น หากว่าท่านต้องการกำไรมากขึ้น หากว่าท่านต้องการขายสินค้าและบริการให้ได้มากขึ้น การตลาด E-Commerce ช่วยท่านได้อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับประเทศไทยของเราในการค้าขายในยุค AEC ก็คือ เรื่องของภาษาอังกฤษ เพราะการติดต่อสื่อสารใน AEC เราต้องใช้ภาษาอังกฤษ เป็นสื่อกลาง หากว่าท่านไม่เก่งภาษาอังกฤษ ก็จะทำให้การสื่อสารมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการพูดติดต่อค้าขาย การเขียนเรื่องราวต่างๆลงในเว็บไซต์
สำหรับโอกาสในการทำธุรกิจของท่านจะมากขึ้น เนื่องจากประเทศใน AEC มีการใช้อินเตอร์เน็ตกันมากยิ่งขึ้นในอนาคต การซื้อขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในทุกๆปี การสร้างเว็บไซต์ก็มีค่าใช้จ่ายน้อยมากเมื่อเทียบกับการเปิดร้านค้า

#image_title
by drsuthichai | Nov 8, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
อยากดัง ต้อง สร้างแบรนด์
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ในโลกยุคปัจจุบันและโลกยุคอนาคต เป็นยุคที่มีการแข่งขันรุนแรง สินค้าหลายแบรนด์ทยอยออกมาสู่ตลาด ในทางกลับกัน ก็มีสินค้าหลายแบรนด์ที่ทยอยออกนอกตลาด หรือ บางแบรนด์ก็สูญเสียความเป็นที่หนึ่งของตลาด
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะโลกยุคปัจจุบัน เป็นโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง เป็นโลกยุคแห่งการสื่อสาร เป็นโลกยุคเทคโนโลยี จึงทำให้โลกมีความเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น ฉะนั้นแบรนด์ที่จะได้รับความนิยมอย่างยาวนาน จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลง มีการพัฒนาตลอดเวลาเพื่อให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค
แบรนด์ คือ คำตอบ เมื่อกล่าวถึง Chevrolet(เชฟโรเลต) มีน้อยคนนักที่จะไม่ทราบว่าคือรถยนต์ ,เมื่อกล่าวถึง STARBUCKS (สตาร์บัคส์) มีน้อยคนที่จะไม่รู้จักว่าคือร้านกาแฟที่ทันสมัย,เมื่อกล่าวถึง GOODYEAR(กู้ดเยียร์)มีน้อยคนนักที่ไม่รู้จักว่าเป็นยางรถยนต์อันดับ 1 , เมื่อกล่าวถึง ROLEX (โรเล็กซ์) มีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักว่าคือนาฬิการาคาแพง ,เมื่อกล่าวถึง XEROX (ซีร็อกซ์) มีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักว่าคือเครื่องถ่ายเอกสาร เป็นต้น
สินค้าที่กล่าวถึงข้างต้น ล้วนแล้วแต่ผ่านขั้นตอนของการสร้าง แบรนด์ มาด้วยกันทั้งสิ้น หากว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการออกแบรนด์ใหม่ คุณควรมองหาวิธีที่จะทำให้สินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ ของคุณ แตกต่างจากของเดิม กล่าวคือ ไม่ควรเดินตามเจ้าของตลาดที่มีอยู่เดิมแล้ว แต่คุณควรทำให้เกิดความแตกต่างหรือเป็นผู้นำตลาดแล้ว คุณจะประสบความสำเร็จ
ยิ่งหากว่าคุณต้องการเป็น แบรนด์อันดับต้นๆ ของโลก คุณก็ยิ่งจะต้องใช้งบประมาณในการสร้างแบรนด์ Coca-Cola แบรนด์อันดับ 1 ของโลก เป็นที่ 1 ในตลาดน้ำอัดลม ในแต่ละปีบริษัทจะจัดทำงบประมาณในการสร้างแบรนด์อย่างมากมายมหาศาล จนในที่สุด แบรนด์ Coca-Cola มีมูลค่าถึง 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมูลค่าของแบรนด์สูงกว่ามูลค่าของสินทรัพย์ที่สามารถจับต้องได้เสียอีก กล่าวคือสูงกว่า 3 เท่า (มูลค่าทรัพย์สินที่จับต้องได้มีมูลค่าเพียง 2.5 หมื่นล้านเหรียญ) แต่ทั้งนี้ Coca-Cola ต้องใช้เวลาในการสร้างถึง 125 ปี เลยทีเดียว ซึ่งตรงข้ามกับ แบรนด์สมัยนี้ใช้เวลาสร้างเพียง 36 ปี ก็มีมูลค่า แบรนด์สูงใกล้เคียงกัน Coca-Cola นั่นก็คือ Microsoft (แบรนด์มีมูลค่าถึง 6.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ) ดังนั้น ท่านสามารถสร้างแบรนด์ได้ง่ายกว่าในอดีตอย่างแน่นอน ซึ่งคงต้องอาศัย เวลา กับ ความอดทน จึงจะประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์
อยากร่ำรวย ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้ หากเราลองสังเกตดูจะพบได้ว่า ผู้นำในตลาดน้ำอัดลม ย่อมสร้างความร่ำรวยได้เหนือกว่าคู่แข่ง หรือ ผู้นำในตลาดคอมพิวเตอร์ ย่อมสร้าง ความร่ำรวยได้อย่างมากมายมหาศาล จงเป็นที่หนึ่งแล้ว บริษัทของท่านและตัวท่านจะพบกับความร่ำรวยมหาศาล
เวลาเปลี่ยน ผู้นำตลาดเปลี่ยน Kodak ในอดีตเคยโด่งดัง โดดเด่น มาก เคยเป็นผู้นำในตลาดฟิล์มถ่ายภาพ เมื่อเทคโนโลยี่เปลี่ยนไป ตลาดฟิล์มไม่เป็นที่นิยม บวกกับระบบดิจิตอลเข้ามาแทนที่ Kodak จึงสูญเสียความเป็นผู้นำ ตรงข้ามกับ Sony ซึ่งมีภาพลักษณ์ในเรื่องของ “อิเล็กทรอนิกส์” กลับเป็นผู้นำตลาดและได้แย่งฐานลูกค้าของ Kodak ไปอย่างง่ายดาย ผู้นำตลาดจึงต้องมีการพัฒนา ปรับตัว ต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงจะสามารถเป็นผู้นำได้อย่างยืนยาว
อยากขายของในราคาแพง ต้องสร้างภาพลักษณ์ให้เป็นแบรนด์แก่ชนชั้นสูงหรือคนมีรายได้มาก
Starbucks มีมูลค่าแบรนด์นับพันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากสินค้าได้เสนอขายแก่ชนชั้นสูงหรือคนมีรายได้มาก
Rolex มีมูลค่าแบรนด์นับพันล้านเหรีญสหรัฐ ก็เนื่องมาจากการขายนาฬิการาคาแพงให้แก่คนที่ร่ำรวย
แบรนด์ที่น่าสนใจต้องมีเรื่องราว เราคงเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของประวัติศาสตร์ในการสร้างแบรนด์ เช่น แอมเวย์ , ซอลมะเขือเทศ Heinz ,Coca-Cola กว่าจะเป็นองค์กรหรือบริษัทมาได้ ต้องได้รับความร่วมมือจากหลายคนร่วมก่อตั้งที่บ้าน แล้วจึงค่อยๆเติบโต จนเป็นบริษัทระดับโลก เป็นต้น
แบรนด์กับการกระจายสินค้า หลายบริษัท เน้นการสร้างแบรนด์ ในการนำสินค้าออกสู่ตลาดใหม่ๆ แต่ ละเลยการกระจายสินค้า ทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรไปอย่างง่ายดาย ตัวอย่าง สมมุติ เราเดินทางไปจังหวัดหนึ่ง ในหมู่บ้านหนึ่ง เราอยากกิน Coca-Cola ในหมู่บ้านนั้น แต่ร้านขายของชำบอกว่า ไม่มีขายต้องไปซื้อในตัวอำเภอเมือง ซึ่งต้องเดินทางไปหลายกิโลเมตร แล้วถามว่าเราจะอยากไปไหม แต่ตรงกันข้าม Coca-Cola มีการกระจายสินค้าที่ดีมาก Coca-Cola มีขายทุกแห่ง เกือบทุกพื้นที่ในประเทศไทย จึงทำให้ Coca-Cola มียอดขายที่มากมายมหาศาล ถึงแม้ว่า หลายแห่งจะขายราคาไม่เท่ากัน แต่ลูกค้าจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะซื้อจากสถานที่ไหน ราคาเท่าไร เมื่อไร
ถึงความการใช้สี สร้าง แบรนด์ หากว่าเราไปใช้บริการธนาคารและเราเห็น สีเหลือง เราคงคิดถึงธนาคารกรุงศรีอยุธยา , หากว่าเราเห็นสีชมพู เราคิดถึงธนาคารออมสิน , หากว่าเราเห็นสีเขียว เราคิดถึงธนาคารกสิกรไทย เป็นต้น สีสามารถใช้สร้างแบรนด์ได้ เพราะสีทำให้เกิดอารมณ์ ความรู้สึก ต่างๆเช่น สีขาว ชวนให้นึกถึง ความบริสุทธิ์ สีเขียว ชวนให้นึกถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อม สีแดง ทำให้รู้สึกร้อนแรง ฯลฯ
ดังนั้น หากท่านต้องการชื่อเสียง อยากดัง ท่านมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างแบรนด์ และทุ่มงบประมาณในการสร้างแบรนด์ เพราะการสร้างแบรนด์จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่างๆตามมา เช่น หากท่านขายสินค้า ยอดขายของท่านก็จะเพิ่มขึ้น หากท่านเป็นนักการเมือง คะแนนเสียงของท่านจะเพิ่มขึ้นเหนือกว่าคู่แข่งขัน หากท่านเป็นดารา ท่านจะมีแฟนคลับและได้รับความนิยมจากประชาชนเพิ่มยิ่งขึ้น ฉ

#image_title
ะนั้นท่านมีความจำเป็นที่จะต้องมีความจริงจังที่จะเริ่มต้นสร้างแบรนด์ของ บริษัทท่าน สินค้าของท่าน และตัวของท่านเองแต่วันนี้