by drsuthichai | Nov 7, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
Modern Marketing
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การทำการตลาดในยุคใหม่จะต้องมีความรู้ มีข้อมูลในเรื่องรอบๆตัว มีความไวต่อความต้องการของผู้บริโภค เพราะการแข่งขันในยุคปัจจุบัน มีความเปลี่ยนแปลง ไม่อยู่นิ่ง และมีการนำเทคโนโลยี เข้ามาใช้ จึงทำให้เกิดความรวดเร็วในการแข่งขันทางด้านการตลาด
นักการตลาดจึงจำเป็นจะต้องมีการลงพื้นที่ เพื่อไปสังเกตพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อนำข้อมูล มาวิเคราะห์ ซึ่งจะอาศัยข้อมูล ตัวเลข สถิติต่างๆ หรืองานวิจัย แบบนักการตลาดในสมัยก่อน เพื่อนำมาวิเคราะห์แต่เพียงอย่างเดียวคงไม่ได้อีกแล้ว เพราะจะทำให้นักการตลาดมองไม่เห็นภาพและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่แท้จริง
การแข่งขันทางธุรกิจในยุคปัจจุบัน มีการแข่งขันที่สูง ทำให้นักการตลาดในยุคใหม่จะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งต้องทำงานหนัก เพื่อมุ่งเน้นการค้นหา นวัตกรรมในตัวของ สินค้า ผลิตภัณฑ์และการบริการ แปลกๆใหม่ๆ ขึ้นในวงการธุรกิจ ดังตัวอย่าง เช่น
สตีฟ จอบส์ ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ บริษัท Apple ที่เขาก่อตั้งขึ้น ได้สร้างสินค้าใหม่ๆขึ้นในตลาด เช่น สินค้าตระกูล I (iPhone iPad iBoard ipod) และบริษัท NeXT ของเขา ได้สร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่น จนดังระดับโลก เช่น Finding Nemo , Toy story ฯลฯ
ริชาร์ด แบรนสัน นักธุรกิจใหญ่ชาวอังกฤษ เจ้าของชื่อการค้า “เวอร์จิ้น” หรือ Virgin มีธุรกิจกว่า 360 บริษัท
เขาทำธุรกิจ ตั้งแต่อายุ 15 ปี เริ่มทำนิตยสารตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียนนักศึกษา แล้วขยายธุรกิจไปเรื่อยๆ เขาเป็นนักการตลาดยุคใหม่ระดับขั้นเทพ การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการตลาดของเขา เขามีความคิดนอกกรอบ เขาจะไม่เสียเงินจ้างสื่อให้มาลงข่าวในหน้า 1 ซึ่งจะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก แต่เขาเลือกทำการตลาดฉบับของเขา ด้วยความที่เขาชอบผจญภัยและสร้างสถิติโลก ทำให้สื่อติดตามและลงข่าวเกี่ยวกับเขาและเครือบริษัท Virgin (เวอร์จิ้น) ของเขา เช่น การทำลายสถิติการขับเรือเร็วข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก , การทำลายสถิติการเดินทางด้วยบัลลูนข้ามมหาสมุทรแอตแนติก เป็นต้น
บริษัทแกรมมี่ เริ่มต้นจากบริษัทเล็กๆ จนปัจจุบันเป็น บริษัท Entertainment ระดับแนวหน้าของประเทศไทย ก็เนื่องมาจากการสร้างสรรค์ผลงาน และ คิคค้น สิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ให้แก่วงการอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ผลงานเพลงต่างๆ , การสร้างสรรค์ศิลปินนักร้องใหม่ๆ เพื่อนำออกมายังตลาด
ลูกค้าโต ธุรกิจโต ธุรกิจนั้นจะโตได้ ก็ต้องอาศัยฐานจากลูกค้าในการมาซื้อสินค้าและบริการ ดังเราจะสังเกตได้ว่า หากบริษัทใด มีลูกค้ามาก บริษัทนั้นก็จะมีการเจริญเติบโตตามจำนวนลูกค้า เช่น มีการเปิดสาขาเพิ่มขึ้น มีการขยายสำนักงานให้กว้างขวางขึ้น มีการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆเพิ่มขึ้นเพื่อมาเอาใจผู้บริโภค ฯลฯ
การหาลูกค้าให้มาใช้บริการและซื้อสินค้านั้นยากแต่การรักษาลูกค้าให้อยู่กับเราไปนานๆนั้นยากกว่า ซึ่งสิ่งที่นักการตลาดจะทำได้ก็คือ CRM(Customer Relationship Management) การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่ดีจะต้องทำอย่างเป็นระบบ ทำอย่างต่อเนื่องยั่งยืน ไม่ทำแบบทิ้งๆ ขว้างๆ เพราะจะทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน
การตลาดยุคใหม่ต้องโดนใจผู้บริโภค….หากไม่รู้จักลูกค้าจริง อย่าหวังรอดในยุคการแข่งขันที่มีความรุนแรงอย่างเช่นในยุคปัจจุบัน เพราะลูกค้าสามารถเปลี่ยนไปซื้อสินค้าและบริการ ของบริษัทอื่นๆได้อย่างง่ายดาย ฉะนั้นการรู้จักลูกค้า การรู้จักพฤติกรรม นิสัยใจคอ ความชอบ ความต้องการของลูกค้า จึงมีความสำคัญมาก ตัวอย่าง โรงแรมใหญ่ๆระดับ 5 ดาว มักมีการบันทึกข้อมูลลูกค้าตลอดเวลา การบันทึกข้อมูลลูกค้าจะเป็นประโยชน์มากต่อการใช้บริการในครั้งต่อๆไป เช่น ลูกค้าชอบห้องลักษณะไหน , ลูกค้าชอบอาหารประเภทไหน , ลูกค้ามีวันคล้ายวันเกิดวันใด เป็นต้น
อย่าตกใจ…เมื่อถูกลูกค้าปฏิเสธ…สงครามการตลาดในยุคปัจจุบัน มีการแข่งขันที่ดุเดือด บางธุรกิจยอมที่จะลดราคา ตามคู่แข่งขัน ทั้งๆที่ต้นทุนของบริษัทตนเองนั้นสูงกว่าคู่แข่ง การตลาดกับการขายมีส่วนคล้ายคลึงกันอย่างหนึ่งคือ มีการตอบรับและการถูกปฏิเสธ ดังนั้น หากทำการตลาดไปแล้ว ผลสะท้อนกลับมาอาจไม่ดีพอ เราอาจจะต้องทำใจ เพราะสิ่งทุกสิ่งในโลกนี้มักมี 2 ด้าน เสมอ เช่น มีบวกมีลบ , มีสมหวังมีผิดหวัง ฯลฯ
การตลาดในยุคเก่า มักจะต้องหาสินค้าและบริการมาเพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้า แต่การตลาดในยุคใหม่ อาจจะต้องเพิ่มในเรื่องของการ “ กระตุ้นต่อมความอยากของลูกค้า” การกระตุ้นต่อมอยากจะทำให้ลูกค้ามีความต้องการที่จะซื้อสินค้า ทั้งๆที่ผ่านมาไม่เคยคิดที่จะซื้อหรือใช้ การกระตุ้นต่อมความอยากจึงเป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดมากยิ่งขึ้น เช่น
การกระตุ้นด้วยการใช้ฟรีเซ็นเตอร์ นักโฆษณารู้ดีว่าทำไมจึงต้องเอาดารา นักร้อง ที่มีแฟนคลับเป็นจำนวนมากๆ เพื่อมาโฆษณาสินค้า ทั้งๆที่ในความเป็นจริง ชีวิตจริง ดารา นักร้องคนนั้นไม่ได้ใช้สินค้าชิ้นนั้นเลย แต่การใช้ฟรีเซ็นเตอร์คนดัง สามารถกระตุ้นให้แฟนคลับของคนดัง ใช้สินค้าและบริการตามไปด้วย
การกระตุ้นด้วยเทรนด์ นักการตลาดสมัยใหม่ มักสร้างกระแสเทรนด์ขึ้นมา เพื่อให้ผู้บริโภคตาม เพราะหากผู้บริโภคไม่ใช้ อาจที่จะถูกมองว่าตกเทรนด์ การกระตุ้นด้วยเทรนด์มักจะสร้างกระแสผ่านสื่อต่างๆ เช่น การสื่อให้เห็นถึงความเป็นคนทันสมัย ล้ำยุคหากว่าใช้สินค้าของตนเอง การสื่อให้เห็นถึงการรักษาสุขภาพ หากว่าใช้สินค้าของตนแล้วสุขภาพจะดีขึ้น เป็นต้น
การกระตุ้นด้วยเรื่องราวหรือ Story ดังเราจะสังเกตเห็น ตามธุรกิจการท่องเที่ยว สถานที่ต่างๆ มักสร้างเรื่องราวออกมานำเสนอ เพื่อให้ลูกค้า เกิดความสนใจที่อยากจะไปเที่ยว อีกทั้งมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องราวนั้นๆ วางจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้อีกทางหนึ่งด้วย เช่น กำแพงเมืองจีน , วัดวาอารามต่างๆ , สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ
รู้เขารู้เรา…รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง…การแข่งขันทางการตลาด เรารู้จักผลิตภัณฑ์ของตนเอง เราพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราเองยังไม่เป็นการเพียงพอ เรายังจะต้องรู้ว่าบริษัทคู่แข่ง เขาทำอะไรออกมาบ้าง มีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาเพิ่มอีกหรือเปล่า คู่แข่งรายใดออกนอกตลาดไปแล้ว ฉะนั้น ข้อมูล ข่าวสาร ความเคลื่อนไหว จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ ที่นักการตลาดยุคใหม่จะต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา
จงสร้างความแตกต่าง โดดเด่น โดนใจ หากว่าเราสังเกตในการแข่งขันทางธุรกิจทุกประเภท สินค้า บริการ มักจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่นักการตลาดยุคใหม่จะทำอย่างไร เพื่อให้สินค้า บริการ ของเราเป็นที่แตกต่าง โดดเด่น โดนใจ หากว่าทำได้ สินค้า และบริการ นั้นๆ ก็จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันขึ้นมาทันที
สุดท้ายสิ่งที่นักการตลาดยุคใหม่ มีความจำเป็นจะต้องศึกษา เรียนรู้ ก็คือเรื่องของ IMC Integrated Marketing Communication หรือ การสื่อทางการตลาดแบบครบเครื่อง ซึ่งจะต้องไปศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องของ การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขาย การขายตรง การสื่อสาร ณ จุดขาย การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ฯลฯ
จากข้อความข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า นักการตลาดยุคใหม่ จะต้องทำงานหนัก มีความรู้ มีข้อมูล ข่าวสาร มีทักษะต่างๆ ที่มากขึ้น อีกทั้งต้องมีความกล้าตัดสินใจ กล้าได้ กล้าเสีย อีกทั้งต้องมีความรวดเร็ว เพราะการแข่งขันในยุคนี้ หากช้าไปหนึ่งก้าว คู่แข่งขันก็อาจแซงหน้าไปได้ ฉะนั้น นักการตลาดในยุคใหม่คุณก็สามารถเป็นได้ หากว่าคุณมีความตั้งใจ มีการฝึกฝน เรียนรู้ อย่างสม่ำเสมอ และมีความเชื่อมั่นในตนเอง

#image_title
by drsuthichai | Nov 6, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
ปลุกพลังในตัวคุณ
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่ประสบความสำเร็จอย่าง เอดิสัน นักประดิษฐ์เอกของโลก,ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ของสหรัฐ , มหาตะมะ คานธี อดีตผู้นำที่ชาวอินเดียรักและให้ความเคารพตลอดกาล, เดล คาร์เนกี อดีตอาจารย์ผู้สอนวิชาการพูดระดับโลก ผู้นำเหล่านี้ มักดึงพลังจากภายในตัวของเขาเอง ออกมาใช้มากกว่าผู้อื่น
อีกทั้งผู้นำเหล่านี้ รู้ว่าตนเอง มีความรัก ความชอบ ความต้องการอะไรในชีวิตอย่างแท้จริง พวกเขามีอุดมการณ์ รวมทั้งยอมตายเพื่ออุดมการณ์หรือยอมตายเพื่อแลกกับสิ่งที่เขาต้องการ
เดล คาร์เนกี เขาต้องการเปิดสอนการพูด จึงไปนำเสนอหลักสูตร “ การพูดต่อหน้าสาธารณชน ” เพื่อไปเป็นอาจารย์สอนยังมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย แต่ก็โดนปฏิเสธ แต่เขาไม่ย่อท้อ เขาจึงได้ไปนำเสนอหลักสูตร แก่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ก็ถูกปฏิเสธกลับมาอีก เพราะเหตุว่า ทั้ง 2 สถาบัน คิดว่าคงไม่มีคนสนใจเรียน แล้วในที่สุด เขาเปิดสอนในโรงเรียน ไว.เอ็ม.ซี.เอ ซึ่งต้องเรียนหรือต้องสอนในช่วงกลางคืน โดยทาง ไว.เอ็ม.ซี.เอ ได้ตกลงให้ค่าจ้างเขาเป็นเปอร์เซ็นต์ ตามจำนวนคนที่เข้าเรียน แทนการจ้างโดยการจ่ายเป็นเงินเดือนประจำ เนื่องจากไม่เชื่อมั่นว่าจะมีคนมาเรียนเป็นจำนวนมาก
แต่ในที่สุด หลักสูตรของเขาได้รับการยอมรับอย่างมากมาย คนมาสมัครเรียนเป็นจำนวนมาก ทำให้เงินที่เขาได้รับเป็นเปอร์เซ็นต์ ตามจำนวนคนเข้าเรียน มีจำนวนมากกว่าหลายเท่าของเงินที่ทาง ไว.เอ็ม.ซี.เอ จะใช้จ้างเขาเป็นเดือนในตอนแรกเสียอีก ปัจจุบันหลักสูตรของเขาได้มีการแพร่หลายและใช้เรียนไปทั่วโลก
ทำไม เดล คาร์เนกี จึงประสบความสำเร็จ ? ปัจจัยหนึ่งก็คือ เขารู้จักตนเอง เขารู้ความต้องการของตนเอง และเขาดึงพลังจากภายในตัวของเขามาใช้อย่างเต็มที่
อยากเก่งต้องมี Passion (ความชอบ ความอยาก ความหลงใหล)ในการทำธุรกิจถ้าให้เลือกระหว่างมีเงินทุนมากกับมี Passion ผมเลือกการมี Passion มากกว่า เพราะการมี Passion จะทำให้เราเกิดความกล้า ความอดทน ความมุ่งมั่น ไม่บ่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ออกมาจากภายในใจของเรา อีกทั้งคนที่ประสบความสำเร็จมักมี Passion เกือบทุกคน(คนส่วนใหญ่หรือคนธรรมดามักยอมแพ้ในระหว่างทาง แต่คนที่ประสบความสำเร็จ เขาจะพยายามเดินไปให้ถึงฝั่งฝัน ด้วยใจที่รักในสิ่งนั้น)
อยากดึงพลังภายในตนเอง ทำอย่างไร? คนโดยทั่วไปหรือคนธรรมดา มักจะไม่มีเป้าหมายในชีวิต ตรงกันข้ามกับคนที่ประสบความสำเร็จเขามักมีเป้าหมายในชีวิต หากต้องการดึงพลังภายในตนเองออกมาใช้ กระผมขอแนะนำว่า ท่านควรวางเป้าหมายในชีวิตให้แก่ตนเองก่อนเป็นลำดับแรก เพราะการมีเป้าหมายจะทำให้เรามีทิศทางในการเดินทาง ไม่หลงทาง ไม่ใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
อยากประสบความสำเร็จ ต้องเริ่มจากตัวเราเอง หลายคนมักโทษคนอื่น บางคนโทษฟ้า โทษดิน โทษอากาศ แต่จริงๆแล้ว คนที่ประสบความสำเร็จ เขาจะเริ่มเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองก่อน เปลี่ยนแปลงอย่างไร เปลี่ยนแปลงตนเองโดยการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลา เช่น การอ่านหนังสือทุกวัน,การเข้าสัมมนา การอบรม , การคิดแง่บวก , ฝึกการพูด เป็นต้น
ดังนั้น หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จ ท่านควรสร้างเป้าหมายของตนเองขึ้นมา แล้วทุ่มเทพลัง ดึงพลังของตนเองออกมาใช้อย่างเต็มที่ แล้วท่านก็จะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย

#image_title
by drsuthichai | Nov 6, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ท่านผู้อ่านทุกๆท่านครับ หากว่าท่านต้องการรวย หากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จ ไม่ว่าด้านใดๆ ท่านจำเป็นจะต้อง ยอมเสียบางสิ่งบางอย่าง หรือท่านจำเป็นจะต้องย่อมที่จะเสียหลายสิ่งหลายอย่าง เพื่อแลกกับสิ่งนั้น ไม่ว่าท่านจะต้องยอมเสียเวลา เสียเงินทอง เสียความรู้สึก เสียโอกาส เพราะอะไรครับ ก็เพราะว่าโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี
ฉะนั้น หากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จในระดับที่สูงใน สายงานอาชีพของท่าน ท่านก็มีความจำเป็นที่จะต้องทุ่มเทเวลา ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ กับสิ่งๆนั้น เช่น
– ถ้าท่านต้องการเป็นนักกีฬาชกมวยมืออาชีพ ท่านจำเป็นจะต้องซ้อมอย่างหนัก ท่านต้องขยันพัฒนาทักษะต่างๆ ทุ่มเทเวลา หลายๆชั่วโมงต่อวัน อีกทั้ง ท่านต้องสร้างสมประสบการณ์ในการชกมวยบนเวทีอยู่เป็นประจำ ท่านต้องยอมที่จะต้องถูกชก ท่านจะต้องยอมที่จะต้องเจ็บตัว เจ็บปวด เพื่อแลกกับชัยชนะ
– ถ้าท่านต้องการเป็นนักเขียน ท่านคงต้องทุ่มเทเวลาในการอ่าน และการลงมือเขียนอยู่เป็นประจำ อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งควรหาเทคนิคใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงงานเขียนของท่าน ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ ท่านจะต้องเสียอะไรบางอย่างหรือหลายๆอย่าง เช่น เสียเงินซื้อหนังสือ เสียเวลาในการอ่าน การเขียน เสียใจต่อการถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์ เป็นต้น
– ถ้าท่านต้องการเป็น นักการเมือง ท่านจำเป็นจะต้องลงพื้นที่ ท่านจำเป็นจะต้องเสียเงินเสียทองเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน ท่านจำเป็นจะต้องเสียเวลาในการอยู่กับครอบครัว ท่านจำเป็นจะต้องอดทนเมื่อถูกคู่แข่งทางการเมือง สาดโคลน(ให้ร้ายต่างๆ)เป็นต้น
– ถ้าท่านต้องการเป็นนักธุรกิจ ท่านต้องกล้าเสี่ยงที่จะนำเงินของท่านไปลงทุน เพื่อให้ได้กำไรเป็นการตอบแทน ซึ่งท่านต้องเสี่ยงกับการขาดทุน อีกทั้งท่านจะต้องทำงานหนักโดยเฉพาะช่วงเปิดกิจการใหม่ๆ
– นักเรียน นักศึกษาก็เช่นกัน หากว่าต้องการสอบให้ได้คะแนนที่ดีๆ นักเรียน นักศึกษา ก็ควรที่จะต้องขยัน อ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัด ใคร่ครวญ หากว่าไม่เข้าใจก็ควรสอบถามผู้รู้
ระบบการศึกษาของประเทศญี่ปุ่นมักสอนให้คนมีวินัยมาตั้งแต่ สมัยเป็นเด็กนักเรียน โดยรัฐบาลญี่ปุ่นพยายามสร้างความทะเยอทะยานให้แก่เด็กนักเรียน โดยปลูกฝังให้เด็กทำการบ้าน ทุ่มเทการเรียนอย่างหนัก จนทำให้ชาวญี่ปุ่นเมื่อโตขึ้น จึงเป็นคนที่มีความอดทน มีระเบียบวินัย ขยันทำงานอย่างหนัก จนรัฐบาลของญี่ปุ่นบางสมัยถึงขนาด ออกกฎหมายให้มีวันหยุดมากขึ้น เพื่อให้คนญี่ปุ่นในวัยทำงานได้มีโอกาสพักผ่อน ไม่เครียดมากนัก เพราะชาวญี่ปุ่นในวัยทำงาน บางคนเครียดถึงขนาดหลังเลิกงานไปเที่ยว ไปกินเหล้า อยู่เป็นประจำ
แต่สำหรับโดยส่วนตัวของกระผมแล้ว กระผมคิดว่า การทำงานหนักและทุ่มเทให้กับงานเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่ควรที่จะมากจนเกินไป จนขาดความสมดุล เพราะ หากว่าเราทำงานหนัก โดยขาดการพักผ่อน ขาดการออกกำลังกาย แต่เกิดความเครียด ความกดดันมากๆในชีวิตแล้ว ถามว่าเราจะหาเงินไปทำไม หาไปเพื่อรักษาตัวเองหรือ และ การทำงานอย่างหนัก โดยไม่พักผ่อนบ้าง จะส่งผลร้าย กล่าวคือ ทำให้เราตายไวกว่าอายุไขที่แท้จริงด้วย การขาดความสมดุล จึงเป็นสิ่งที่ควรคิด ควรพิจารณา ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าได้สอนไว้ว่า “ ทางสายกลาง” จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการดำเนินชีวิตและการแก้ไขปัญหาต่างๆ
ดังนั้น พอสรุปได้ว่า หากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ท่านต้องการมีชื่อเสียง เงินทอง ท่านมีความจำเป็นจะต้องลงทุนนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นการ ลงทุนเวลา แรงกาย แรงใจ กล้าที่จะเสี่ยง กล้าที่จะยอมผิดหวัง อีกทั้งท่านต้องพยายามรักษาความสมดุลของชีวิตของท่านในด้านต่างๆอีกด้วย

#image_title
by drsuthichai | Nov 6, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
ศาสตร์แห่งความร่ำรวย
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ถ้าคนที่อยู่ในประเทศของเรา อยู่ในจังหวัดของเรา สามารถสร้างความร่ำรวยได้ เราก็สามารถทำได้เช่นกัน
ศาสตร์แห่งความร่ำรวยมีอยู่จริง ซึ่งศาสตร์แห่งความร่ำรวยก็เหมือนกับศาสตร์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ศาสตร์ทางด้านคณิตศาสตร์ ศาสตร์ทางด้านสังคมศาสตร์ ศาสตร์ทางด้านโหราศาสตร์ ฯลฯ
หากเราลองไปสังเกตคนที่ร่ำรวยแล้วเราจะรู้ว่าเขาไม่ได้ฉลาดเกินกว่าเรา เขาไม่ได้เก่งกว่าเรา หรือเป็นอัจฉริยะ แต่สิ่งที่มีความต่างแตกกันก็คือเรื่องของความคิด T.Harv Eker ผู้สอนและเขียนหนังสือเรื่อง “ ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน” เขาพูดไว้อย่างน่าสนใจว่า “ ให้เวลาเขา 5 นาที แล้วเขาจะทำนายอนาคตทางการเงินตลอดชีวิตที่เหลือของคุณ” ถามว่าเขาทำนายจากสิ่งใด เขาสามารถทำนายได้จากแนวความคิดและแผนผังการเงินในสมองของคุณ เขายังเชื่อว่า หากต้องการเป็นคนที่ร่ำรวย สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือ ท่านจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงความคิด ท่านจะต้องเลียนแบบวิธีคิดของคนรวย อีกทั้งต้องตั้งโปรแกรมความคิดเสียใหม่ ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ ท่านต้องพูดกับตัวท่านเองทุกๆวัน และทุกๆโอกาส เช่น ฉันสามารถร่ำรวยได้ , ฉันมีความคิดแบบมหาเศรษฐี , ฉันมีสมองเงินล้าน เป็นต้น
หนังสือ The Secret กฏแห่งการดึงดูด ความลับของ The Law of Attraction.(ท่านสามารถหาอ่านเพิ่มเติ่ม)กล่าวไว้ว่า หากว่าท่านต้องการสิ่งใด ขอให้ท่านคิดเรื่องนั้นบ่อยๆ กฎแห่งการดึงดูดก็จะทำงาน หากท่านคิดเรื่องร้ายๆ เรื่องร้ายๆก็จะมาหาท่าน แต่ตรงกันข้ามหากท่านคิดแต่เรื่องที่ดีๆ เรื่องที่ดีๆก็จะเข้ามาหาท่าน ดังนั้น หากท่านต้องการร่ำรวย ท่านก็จงคิดแต่เรื่องที่จะนำพาท่านไปสู่ความร่ำรวย จงมุ่งความคิดของท่านไปที่การจะหาทรัพย์สิน การสร้างธุรกิจมากกว่าการชำระหนี้สินหรืออุปสรรค
และเนื้อหาในหนังสือ The Secret บางตอน ยังได้แนะนำเพิ่มเติมว่า ให้ท่านตัดภาพวาดเกี่ยวกับ บ้าน รถ สระว่ายน้ำ เงินทอง หรือสิ่งต่างๆที่ท่านต้องการไว้ดู โดยติดไว้ในสถานที่ที่ท่านเห็นได้บ่อยๆ หรือตลอดเวลาได้ยิ่งดี
หนังสือ the new science of getting rich หรือ ไขรหัสศาสตร์สู่ความร่ำรวย ก็ได้กล่าวและมุ่งเน้นไปที่เรื่องของความคิด โดยสรุปก็คือ หากท่านต้องการร่ำรวย ท่านจงเปลี่ยนแปลงความคิดของท่านก่อนเป็นลำดับแรก
หลายๆคนอาจจะตั้งข้อสงสัย หลายๆท่านอาจจะมีความคิดที่โต้แย้ง แต่หากว่าท่านใดมีความเชื่อและยอมรับมันหมดหัวใจ ท่านก็จะเดินทางไปสู่ความร่ำรวยได้เร็วกว่าคนอื่นๆที่ไม่ยอมรับและมีข้อโต้แย้ง เพราะการไม่ยอมรับจะทำให้เขาไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงความคิด ทั้งนี้หากว่าท่านต้องการร่ำรวยอย่างแท้จริง ขอให้ท่านขจัดความคิดเก่าๆของท่านทิ้งไป แล้วคิดใหม่ คิดว่าท่านสามารถร่ำรวยได้ คิดว่าท่านสามารถกุมโชคชะตาของตนเองได้
คนที่ร่ำรวยมักชอบการสร้างสรรค์มากกว่าการแข่งขัน เพราะการแข่งขันจะทำให้รู้สึกกดดัน ไม่มีความสุข เกิดความเครียด แต่หากว่าเรามีความคิดที่สร้างสรรค์ เรามักสร้างสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ จากตัวเราเองทำให้เราไม่เกิดการกดดันใดๆ อีกทั้งการแข่งขันจะทำให้เกิดความคิดในทางลบมากกว่าทางบวก เช่น เกิดความอิจฉา เกิดความคิดที่อยากจะทำลาย เป็นต้น
จงสร้างสรรค์ผลงานในการทำงานของท่านให้ดีขึ้นตลอดเวลา เช่น การสร้างสรรค์งานเขียนใหม่ๆ การสร้างสรรค์ผลงานเพลงใหม่ๆ การสร้างสรรค์งานศิลปะใหม่ๆ การสร้างสรรค์การออกแบบเสื้อผ้า ทรงผมใหม่ๆ เป็นต้น
T.Haarv Eker เขาเปลี่ยนตัวเขาเองจากคนที่เคยถังแตกมาเป็นเศรษฐีร้อยล้านภายใน 2 ปีครึ่ง , Donald J.Trump (โดนัลด์ เจ ทรัมพ์) เปลี่ยนจากคนที่ใกล้จะล้มละลาย มาร่ำรวยยิ่งขึ้น ก็เพราะเขามีความคิดซึ่งเป็นความคิดของมหาเศรษฐีนั่นเอง
จงเปลี่ยนแปลงความคิด แล้วชีวิตของท่านจะเกิดการเปลี่ยนแปลง

#image_title
by drsuthichai | Nov 6, 2024 | การศึกษา
กฎแห่งความสำเร็จ
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มักจะต้องมีหลักการหรือมีกฎเกณฑ์ประจำตัวบางอย่าง ซึ่งหลักเกณฑ์หรือกฎเกณฑ์ ที่แต่ละคนยึดถือคงมีแตกต่างกันไป แต่ก็มีอยู่หลายๆ กฎที่บุคคลส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จยึดเหมือนกัน ก็มีอยู่หลายกฎเกณฑ์ เช่น
1.การวางเป้าหมาย หากว่าท่านผู้อ่านลองสังเกตบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่เขามักมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต หรือหากท่านผู้อ่านได้มีโอกาสไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาแห่งความสำเร็จ การวางเป้าหมายเป็นสิ่งหนึ่งที่หนังสือเหล่านั้นได้กล่าวถึง ไม่ว่าหนังสือของ นโปเลียน ฮิลล์ หนังสือของเดล คาร์เนกี้ หนังสือของ Anthony เป็นต้น
2.ความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง บุคคลที่มีความสมบูรณ์ทางด้านร่างกายแต่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง สู้คนที่มีความบกพร่องพิการแต่มีความเชื่อมั่นในตนเองไม่ได้ ซึ่งความเชื่อมั่นท่านสามารถพิชิตได้ เคยมีนักปราชญ์กล่าวว่า วิธีการสร้างความเชื่อมั่นง่ายนิดเดียวคือ “ จงทำในสิ่งที่ท่านกลัว แล้วเมื่อนั้นความกลัวในสิ่งนั้นก็จะตายจากท่านไป” ดังนั้น เมื่อกลัวสิ่งไหนก็ขอให้เราเข้าหาสิ่งนั้น ท่านก็จะเกิดความเชื่อมั่นในตนเองขึ้นมา
3.นิสัยการทำงานเกินเงินเดือน คนที่ประสบความสำเร็จเป็นจำนวนมาก มักทำงานมากกว่าคนธรรมดาทั่วๆไป เพราะการทำงานมากกว่าคนอื่น บุคคลคนนั้นก็จะมีโอกาสเรียนรู้งานมากกว่าคนอื่น การทำงานมากกว่าเงินเดือน เป็น “ กฎแห่งการตอบแทนทวีคูณ” และเป็นนิสัยของบุคคลที่ประสบความสำเร็จฝึกปฏิบัติ
4.ความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์และการเป็นผู้นำ บุคคลที่ประสบความสำเร็จส่วนมาก มักเป็นคนที่มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ มีความกล้าในการเป็นผู้นำของตนเองและผู้อื่น บุคคลเหล่านี้มักเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงโลก หรือเป็นบุคคลที่สร้างสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับโลก ดังเช่น สตีฟ จอบส์ , บิล เกตส์ เป็นต้น
5.นิสัยประหยัดอดออม บุคคลที่ประสบความสำเร็จหรือบุคคลที่เป็นมหาเศรษฐี มักเป็นคนที่มีนิสัยประหยัดอดออม ซึ่งแตกต่างกับนิสัยสุรุ่ยสุร่าย ทำให้เกิดหนี้สิน ทำให้เกิดการสูญเปล่า การสร้างนิสัยประหยัดอดออม จะทำให้ท่านหนีพ้นจากชีวิตการทำงานหนัก และชีวิตการทำงานที่ไร้อิสรภาพ อันเนื่องจากท่านมีเงินสะสมในการดำเนินชีวิตในอนาคต อีกทั้งไม่มีหนี้สินให้เกิดการผ่อนชำระอีกด้วย
6.ความล้มเหลว ในที่นี้หมายถึง ความพ่ายแพ้ชั่วคราว บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่ล้มเหลวหรือพ่ายแพ้ชั่วคราว มาก่อน ฉะนั้นจงอย่ากลัวความล้มเหลวหรือความพ่ายแพ้ชั่วคราว หากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จ
7.บุคลิกภาพที่ดี บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักมีบุคลิกภาพที่ดี การมีบุคลิกภาพที่ดีไม่ได้หมายความว่า บุคคลนั้นจะต้องแต่งกายหรือมีเครื่องใช้ราคาแพง แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นที่ประทับใจของผู้คน ที่ได้พูดคุยหรือสัมผัสด้วย
8.ความมุ่งมั่นจดจ่อที่เป้าหมาย คนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่จดจ่อกับเป้าหมาย ทำอะไรทำจริง ไม่เป็นคนที่ทิ้งกลางคัน แต่เขาจะคิดถึง เป้าหมายทุกลมหายใจ
กฎแห่งความสำเร็จ ในโลกนี้อาจจะมีมากกว่านี้ แต่กฎข้างต้นนี้ เป็น กฎที่ บุคคลที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ได้ใช้และปฏิบัติกัน และหากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จ จงศึกษา เรียนรู้ และปฏิบัติ ท่านก็จะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จได้

#image_title
by drsuthichai | Nov 6, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
กฎแห่งแรงดึงดูด
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
กฎแห่งความสำเร็จมีหลากหลายกฎ แต่กฎแห่งแรงดึงดูด เป็นกฎหนึ่งที่บุคคลที่ประสบความสำเร็จใช้เป็นวิธีการ ใช้เป็นเครื่องมือ นำทางไปไปสู่ความสำเร็จ กฎแห่งแรงดึงดูด ก็คล้ายๆกับกฎทั่วไปเช่นเดียวกับ กฎแห่งแรงโน้มถ่วง
ซึ่งกฎแห่งแรงดึงดูด มีลักษณะคือ สิ่งใดที่เราคิดอยู่เสมอ ฝันอยู่เสมอ หมกมุ่นอยู่เสมอ มันก็มักจะดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามาในชีวิตเราและเป็นความจริงในที่สุด
เราสามารถพัฒนากฎแห่งแรงดึงดูดมาใช้โดย
1.ท่านต้องหาเป้าหมายหรือหาความฝันหรือค้นหาในสิ่งที่ตนเองต้องการให้เจอเสียก่อน เช่น ท่านอยากเป็นนักเขียน ท่านอยากเป็นนักร้อง ท่านอยากเป็นนักแสดง ท่านอยากเป็นผู้สื่อข่าว ฯลฯ
2.ท่านจงเขียนมันลงไป ไบรอัน เทรซี่ นักวิชาการ วิทยากร นักบริหาร ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา เคยกล่าวไว้ว่า จากการสอนวิชาเคล็ดลับไปสู่ความสำเร็จ ปรากฏว่าเขาให้ผู้เข้ารับการอบรมเขียนเป้าหมาย เขียนความฝัน เขียนสิ่งที่ต้องการ แล้ววางแผนสิ่งต่างๆ เหล่านั้นโดยการเขียนไปในกระดาษผลปรากฏว่า ผู้เข้ารับอบรม ที่เขียนเขียนเป้าหมาย เขียนแผนการ เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งถึงสองปี แล้วนำสิ่งที่เขียนมาดู จะปรากฏว่า สิ่งต่างๆที่ได้เขียน มีการเกิดขึ้นเป็นความจริงมากกว่า ผู้เข้ารับการอบรมที่ไม่ได้เขียนเป้าหมาย เขียนแผนการ ลงไปในกระดาษ
3.ท่านต้องจดจ่อต่อเป้าหมาย จะทำให้ท่านเกิดวิธีการขึ้นมาเอง การจดจ่อต่อเป้าหมายจะทำให้ท่านเกิดกำลังใจในการทำงาน เกิดการไม่ท้อแท้ ท้อถอยต่ออุปสรรค การจดจ่อ ต่อเป้าหมายจะทำให้ท่านไปถึงฝั่งได้อย่างรวดเร็วมากกว่าคนที่ไม่จดจ่อต่อเป้าหมาย และยิ่งถ้าใครสามารถจินตนาการถึงเป้าหมายตามไปด้วยก็ยิ่งดี หนทางที่ดีควรจินตนาการก่อนนอนเพราะช่วงนี้ จิตใต้สำนึกจะรับภาพสิ่งที่เราจินตนาการได้มากกว่าช่วงอื่นๆ ในการดำเนินชีวิต
4.ท่านต้องเริ่มลงมือทำ “ ระยะทางหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นจากก้าวแรก” การเริ่มก้าวแรกเป็นสิ่งที่ยากในการทำใจหรือการทำ แต่เมื่อท่านได้เริ่มต้นแล้ว โอกาสที่จะเดินก้าวที่สองย่อมง่ายขึ้นกว่าการเดินก้าวแรก
5.ท่านต้องมีความสม่ำเสมอในการทำงานไปสู่เป้าหมาย จงทำงานให้มากขึ้น แต่ต้องทำงานอย่างฉลาด ต้องทำงานไปเรื่อยๆ เพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย การทำงานที่ฉลาด ท่านต้องเลือกงานที่มีความสำคัญก่อน ส่วนงานที่ไม่สำคัญ ท่านสามารถให้คนอื่นช่วยทำงานก็ได้เพื่อเป็นการประหยัดเวลาของท่าน
6.ท่านจงใช้เวลาในทุกๆวัน ในการประเมินตนเอง ว่าสิ่งที่ท่านทำในทุกๆวัน มีการพัฒนาไปขนาดไหนแล้ว มีอะไรที่ผิดพลาด อะไรที่ท่านต้องพัฒนาตนเอง เพื่อที่จะช่วยให้ท่านทำงานได้ดีขึ้น ทำงานได้มากขึ้น
จากข้อความข้างต้นนี้ ท่านสามารถนำกฎแห่งแรงดึงดูดไปใช้ได้ เพียงแต่ท่านต้องไปศึกษาเพิ่มเติม แล้วควรเริ่มฝึกลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง หากท่านลงมือทำอย่างจริงจังกระผมเชื่อแน่ว่า กฎแห่งแรงดึงดูดก็จะนำท่านไปสู่เป้าหมายในชีวิตที่ท่านได้วางเอาไว้

#image_title