เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับโอกาสที่จะมาถึง

เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับโอกาสที่จะมาถึง

เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทุกโอกาส
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

คนที่ประสบความสำเร็จระดับสูง มักจะมีการเตรียมตัวที่ดี เขาจะมุ่งมั่นฝึกซ้อม ฝึกฝน พัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อรอโอกาสที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
– ผู้ที่อยากที่จะเป็นนักเขียน ควรหมั่นฝึกฝนการเขียนเป็นประจำ ทุกๆวัน ฝึกให้หนัก ฝึกให้มาก เพื่อที่จะพัฒนาการเขียนของตนเองตลอดเวลา แล้วสักวันหนึ่งเมื่อโอกาสมาถึง ก็จะมีสำนักพิมพ์ต่างๆ ติดต่อให้ท่านเขียนหนังสือให้ แต่ถ้าหากท่านไม่เตรียมตัว ไม่เตรียมความพร้อม ไม่ฝึกฝน ไม่พัฒนา เมื่อโอกาสมาถึง สำนักพิมพ์ขอดูงาน ท่านกลับไม่มีผลงานให้เขาดู
– ผู้ที่อยากเป็นนักร้อง ควรฝึกฝนการร้องอยู่เสมอ พุ่มพวง ดวงจันทร์ ราชินีลูกทุ่งในอดีต ครอบครัวรับจ้างทำไร่อ้อย ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็ด้วยการฝึกฝนร้องเพลงในไร่อ้อย และแสวงหาโอกาสตลอดเวลาโดยการเข้าประกวดร้องเพลงลูกทุ่งตั้งแต่เด็ก จึงทำให้มีผลงานฝากไว้อย่างมากมาย
– ผู้ที่อยากเป็นนักมวย ควรฝึกฝนกำลังกาย ต้องมีวินัย ต้องอดทน ต่อการฝึกซ้อมเป็นอย่างสูง ซึ่งการแข่งขันชกมวยมีการชกเพียงไม่กี่ยกบนเวที แต่ผู้ที่จะเป็นนักมวยที่ประสบความสำเร็จจะขาดการเตรียมตัว ขาดการฝึกซ้อม ไม่ได้เป็นอันขาด บางครั้งขึ้นไปชกแค่ 1 ยก แต่นักมวยจะต้องซ้อมเป็น 3-4 เดือน เป็นต้น
– ผู้ที่อยากเป็นนักธุรกิจ ควรเตรียมตัวฝึกฝนการค้าขาย ควรออกไปทำการค้าขาย ฝึกฝนเรียนรู้การบริหารงานจากห้างร้านต่างๆ ในบางครั้งต้องยอมอดทนในการเป็นลูกจ้างเขาก่อน เพื่อเรียนรู้ระบบงาน แล้วเมื่อมีโอกาสจึงสามารถเปิดกิจการของตนเองได้ในอนาคต
ไมเคิล ชาง ใฝ่ฝันอยากที่จะเป็นนักเทนนิสระดับโลก คุณพ่อคุณแม่จึงได้ส่งเสริมให้มีการฝึกฝนอย่างหนัก มีการส่งไปแข่งขันในรายการต่างๆ อีกทั้งครอบครัวถึงกับลงทุนย้ายถิ่นฐานเพื่อไปยังอีกรัฐหนึ่งในอเมริกาที่มีการแข่งขันที่สูง
จนในที่สุด ไมเคิล ชาง ถือว่าเป็นนักเทนนิสมืออาชีพที่มีอายุน้อยที่สุดของสหรัฐในขณะนั้น
จิม แคร์รี่ นักแสดงชื่อดังของสหรัฐ กว่าจะดังอย่างทุกวันนี้ เขาต้องคลุกคลีอยู่กับงานแสดงตั้งยี่สิบปี เขาต้องฝึกซ้อมบทบาทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวประกอบ ตัวรอง ตัวร้าย ตัวเอก ของเรื่อง เขาต้องเตรียมตัวอยู่เสมอ การเตรียมตัวในการทำงานแสดง ไม่ว่าการท่องบท การซ้อมกับหน้ากระจกที่บ้าน ทำให้เขาเกิดความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้
ไม่ว่าท่านอยากที่จะทำอะไร คนที่ประสบความสำเร็จมักให้ความสำคัญกับการเตรียมตัวอยู่เสมอ เพราะเมื่อมีโอกาส เราก็จะสามารถใช้โอกาสได้อย่างเต็มที่ คำโบราณของไทยมักสอนว่า “ น้ำขึ้นให้รีบตัก ” แต่เราจะตักน้ำได้อย่างไร หากว่า เราไม่ได้มีการเตรียมขันน้ำหรือภาชนะที่จะตักน้ำขึ้นมา ดังนั้นหากต้องการตักน้ำ ท่านจึงควรเตรียมขัน เตรียมพลังกาย เตรียมพลังใจ พอเมื่อน้ำขึ้น ท่านจะสามารถตักน้ำได้ มากกว่าคนที่ไม่ได้เตรียมขันไว้รออย่างแน่นอน
ดังนั้น จงเตรียมงานที่จะต้องทำในอนาคตตั้งแต่วันนี้ เมื่อคุณเตรียมตัวอย่างพร้อม โอกาสก็จะเป็นของคุณ ผู้ที่ประสบความสำเร็จ อาจต้องใช้เวลาเตรียมตัวถึง สิบยี่สิบปีหรือทั้งชีวิต เมื่อโอกาสมาถึงเขาจะดังและมีชื่อเสียงชั่วข้ามคืน แต่คนโดยทั่วไปมักไม่ทราบว่าเขาเตรียมตัวอย่างไร เขาฝึกฝนมาอย่างหนักสักเพียงใด
นักร้อง นักแสดง ในสหรัฐ หลายคน เข้าประกวดในรายการทีวีต่างๆ หลายคนเพียงแค่ร้องเพลงเดียว ทำให้ดังชั่วข้ามคืน ซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นว่าเขาหรือเธอโชคดี แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นความทุ่มเทในการฝึกซ้อม ฝึกฝน เลย
การเตรียมตัว การฝึกฝน ความขยัน จึงมีความสำคัญมากต่อความสำเร็จในเกือบทุกอาชีพ ทุกวงการ

#image_title

ประสบความสำเร็จในที่ทำงาน

ประสบความสำเร็จในที่ทำงาน

ทำไมท่านถึงไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

คนที่ทำงานแล้วไม่ประสบความสำเร็จในที่ทำงาน ก็เนื่องมาจากหลายสาเหตุ เช่น
1.ไม่มีเป้าหมาย คนที่มีเป้าหมายมักจะเป็นคนที่กระตือรือร้นในการทำงานมากกว่าคนที่ไม่มีเป้าหมาย ซึ่งเป้าหมายอาจจะเป็นเรื่องของ ตำแหน่ง , ความก้าวหน้า , การพัฒนางานของตนเอง เป็นต้น
2.มีข้ออ้างตลอดเวลา ผมเคยเห็นคนแขนขาทั้งสองข้าง ว่ายน้ำได้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่ตรงกันข้าม คนแขนดีทั้งสองข้าง หลายคนว่ายน้ำไม่เป็นก็เนื่องมาจากการไม่ยอมที่จะลงมือกระทำและฝึกฝน แต่ตรงกันข้ามเขามักมีข้ออ้างต่างๆ มากมาย เช่น เขาไม่มีเวลา , การว่ายน้ำต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายด้วยการวิ่ง , ไม่ได้ฝึกว่ายน้ำมาตั้งแต่เด็กหากฝึกมาตั้งแต่เด็กตอนนี้ก็คงเก่งแล้ว ฯลฯ คำพูดต่างๆเหล่านี้ ฟังดูแล้วอาจดูดี แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จเขามักจะไม่มีข้ออ้าง แต่เขาจะลงมือกระทำอย่างจริงจังเพื่อก่อให้เกิดผลงานที่สามารถจับต้องได้
3.ขาดความมั่นใจในตนเอง บางคนมีความรู้มาก แต่ขาดซึ่งความเชื่อมั่นในตนเอง เขามักไปไม่ได้ไกล แต่คนที่มีความรู้น้อยแต่คนๆนั้นมีความเชื่อมั่นในตนเอง เขาก็จะสามารถนำพาตนเองให้ประสบความสำเร็จได้มากกว่าคนซึ่งมีความรู้มากกว่า หากท่านต้องการที่จะประสบความสำเร็จท่านจำเป็นจะต้องพัฒนาตนเองให้เกิดความมั่นใจในตนเอง
4.ไม่ทำงานด้วยความมุ่งมั่น ไม่ขยัน ไม่มีความพยายาม ทำงานไม่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ บุคคลที่ประสบความสำเร็จ เขามักจะเป็นคนที่ทุ่มเทในการทำงาน บางคนทำงานตั้ง 12 ชั่วโมงต่อวันเลยก็มี เขาจึงประสบความสำเร็จมากกว่าคนทั่วไปที่ทำงานเพียงแค่วันละ 8 ชั่วโมง อีกทั้งการทำงาน 8 ชั่วโมง ของคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ยังขาดซึ่งคุณภาพและประสิทธิภาพอีกด้วย
5.มองหาแบบอย่างที่ดีๆมากๆ คนที่ประสบความสำเร็จ มักมองหาต้นแบบในการทำงาน เขาจะเรียนรู้ เขาจะศึกษาจากตำรา เขาจะซักถามบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จเขาทำงานอย่างไร ถึงได้ผลลัพธ์มากมายถึงขนาดนั้น แล้วเขาก็ถอดแบบ เลียนแบบ บุคคลต้นแบบเพื่อใช้เป็นทางลัดในการที่เขาจะประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วขึ้น
6.ไม่มีการพัฒนาตนเอง คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เขามักจะเป็นคนที่เหมือนถ้อยชาที่มีน้ำอยู่เต็มแก้ว เติมเพิ่มไม่ได้แล้ว เพราะเขาคิดว่าตนเองรู้ทุกเรื่องแล้ว ใครสอนอะไร ใครบอกอะไร เขาก็มักจะไม่เชื่อ
7. ไม่เรียนรู้ ไม่หาวิธีการใหม่ๆ โลกในยุคปัจจุบัน เป็นโลกในยุคของการแข่งขัน การแก้ไขปัญหาและการทำงานจะต้องหาวิธีการทำงานใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ทันกับคู่แข่งขันและการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน ขอให้ท่านจงได้ขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไป แล้วท่านก็จะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน

#image_title

จงเรียนรู้ จงศึกษาด้วยตัวเอง

จงเรียนรู้ จงศึกษาด้วยตัวเอง

จงเรียนรู้ด้วยตนเอง
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

ผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายๆท่าน ไม่ได้มีโอกาสที่จะเรียนในระบบหรือบางคนก็เบื่อหน่ายต่อการเรียนในระบบ ซึ่งการเรียนในระบบมักบังคับให้ผู้เรียนต้องเรียนทุกวิชา ที่ทางโรงเรียนกำหนดให้ ทั้งๆที่ผู้เรียนบางคนไม่ชอบเรียนบางวิชาแต่ก็ต้องฝืนใจเรียน อีกทั้งการเรียนในระบบในหลายๆวิชา ไม่สามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้ได้ บุคคลที่ประสบความสำเร็จจึงมุ่งที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยตนเอง
เช่น โทมัส เอดิสัน เขาคิดค้นหลอดไฟฟ้าและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆมากมายก็ด้วยการเรียนรู้ด้วยตนเอง เขาไม่ได้เรียนหนังสือในระบบมากมาย ตอนเรียนก็สอบได้ที่โหล่ จนพ่อและคุณครูต้องด่าเขาว่าเขาเป็นคนโง่ เนี่ยหากเราตั้งสมมุติฐานใหม่ หากว่า โทมัส เอดิสัน ได้เรียนจนจบถึงขั้นปริญญาตรี ทางวิศวกรรมศาสตร์ โลกก็คงมืดมิดอยู่ หลอดไฟฟ้าดวงแรกก็คงไม่เกิด แต่เขาเป็นคนชอบเรียนรู้ด้วยตนเอง เขาไม่เคยยอมแพ้ เขาจึงทุ่มเทเรียนรู้จากประสบการณ์ จากการทดลอง จากการลองผิดลองถูก จนเขาเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก
2 พี่น้องตระกูลไรต์ ก็เช่นกัน เขาคิดและประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลกได้ ซึ่งในขณะนั้นไม่มีโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยใดสอนเกี่ยวกับการประดิษฐ์เครื่องบิน แต่ทั้ง 2 พี่น้อง ก็ช่วยการประดิษฐ์ จนเครื่องบินลำแรกได้เกิดขึ้น ก็เนื่องมาจากการเรียนรู้ด้วยตนเองของทั้ง 2 นั่นเอง
สำหรับการทดลองหลอดไฟฟ้าดวงแรกของโลก และ การทดลองประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลก ท่านไม่ต้องถามว่า เขาเหล่านี้ล้มเหลวกี่ครั้ง ทั้งนี้ คงไม่ใช่ 10 ครั้ง 100 ครั้ง 200 ครั้ง แต่เป็น พันๆครั้งขึ้นไป นั่นแสดงให้เห็นถึงความอดทน ความไม่ย่อท้อของพวกเขา
สำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง ในยุคปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร เป็นยุคเทคโนโลยี เราสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้หลายๆทางเช่น การเรียนรู้จากอินเตอร์เน็ต การอ่านหนังสือพิมพ์ การอ่านวารสาร การเรียนการศึกษาผ่านทางไกล การดูโทรทัศน์โดยเฉพาะรายการที่ประเทืองความรู้
ดังนั้น ในยุคปัจจุบันเราสามารถศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองได้ง่ายกว่าบุคคลในอดีต ซึ่งบุคคลในอดีตต้องคิดค้น ทดลอง ลองผิดลองถูกมากกว่าคนในยุคปัจจุบัน ฉะนั้น เมื่อ โทมัส เอดิสัน และ 2 พี่น้องตระกูลไรต์ สามารถสร้างความยิ่งใหญ่จากสิ่งประดิษฐ์ของเขาได้ คนในยุคปัจจุบันยิ่งทำสิ่งต่างๆได้ง่ายดาย กว่าคนในยุคก่อน อีกทั้งคนในยุคก่อนไม่ได้เรียนจบปริญญาตรี แต่คนในยุคปัจจุบันเรียนจบปริญญาตรีกันเป็นจำนวนมาก ฉะนั้น เราเรียนรู้ทั้งในระบบ อีกทั้งยังสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองจากนอกระบบ เราจึงน่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่าคนในยุคก่อนๆ จริงไหมครับ
การศึกษาที่แท้จริง ก็คือการศึกษาด้วยตนเอง

#image_title

5 ส.สร้างสุขในที่ทำงาน

5 ส.สร้างสุขในที่ทำงาน

5 ส. สร้างสุขในการทำงาน
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

-ในช่วงชีวิตของคนเราทุกคน ช่วงเวลาในการทำงานถือว่าเป็นช่วงที่ยาวนานที่สุด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30-50 ปี ทั้งนี้แล้วแต่บุคคล ดังนั้น การทำงานจะมีความสุขหรือมีความทุกข์ทรมานในการทำงาน เป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ ในวันนี้กระผมมีเทคนิค 5 ส. มาฝากกัน
ส.ที่ 1 สดใส การทำงานในทุกๆวัน เราควรทำตัวเองให้ สดใส สดชื่น แจ่มใส มองโลกในแง่ดีหรือประโยชน์ที่ได้รับจากงาน การเริ่มต้นทำงานในทุกๆ เช้า ควรเริ่มต้นด้วย จิตใจที่เบิกบาน ตื่นตัวในการทำงานตลอดเวลา เมื่อเกิดความเครียดก็ควรพักผ่อน นั่งสมาธิ ออกกำลังกายเพื่อให้เกิดความสดใสในการทำงาน
ส.ที่ 2 สัมพันธ์ เราต้องยอมรับว่าในการทำงานทุกๆวัน ในองค์กรหรือนอกองค์กร เราต้องทำงานกับผู้คน การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คน จึงเป็นสิ่งที่ควรยึดถือปฏิบัติ เพราะคนเราหากมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ก็จะทำให้เกิดความร่วมมือกันในการทำงาน สำหรับการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน เราควรฝึกฝนและสร้างมนุษย์สัมพันธ์ในที่ทำงาน เช่น การจำชื่อบุคคลต่างๆ ทั้งในองค์กรและนอกองค์กรให้ได้ พยายามเรียกชื่อเขาให้ถูกต้อง เพราะคนเราโดยมากมักสนใจ พึงใจในชื่อของตนเอง , รู้จักยกย่องผู้อื่น เพราะคนเราชอบคนที่ใช้คำพูดสรรเสริญ ชมเชยตนเองมากกว่าคนที่ชอบนินทา , พยายามเป็นนักฟังที่ดี คนเรามักชอบคนที่ตั้งใจฟังตนเองมากกว่า พูดขัดคอ และจะให้ดีควรพูดหรือพยายามสนทนาในเรื่องที่คู่สนทนาให้ความสนใจ เป็นต้น
ส.ที่ 3 สื่อสาร การทำงานร่วมกันของคนเรา การสื่อสารเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ ไม่ว่า การสื่อสารด้วยคำพูด การเขียน ดังนั้น เราควรฝึกฝนและระมัดระวังเรื่องของการ คำพูด การสื่อสาร เช่น เราควรใช้คำพูดที่สร้างสรรค์มากกว่าการใช้คำพูดที่ทำลายกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ สร้างบรรยากาศในการทำงาน เช่น ใช้คำว่า “ สวัสดี” เมื่อต้องการทักทายกัน ใช้คำว่า “ ขอโทษ” หากว่าเราทำผิด ใช้คำว่า “ ขอบคุณ” เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ส.ที่ 4 สนใจงาน การที่คนเราจะมีความก้าวหน้าในการทำงาน ความสนใจงาน การรู้จักเรียนรู้ และพัฒนาตนเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการสนใจงาน จะทำให้เราเกิดสมาธิ เกิดความมุ่งมั่น เกิดการเอาใจใส่ในงานที่ตนเองทำ เมื่อเกิดความสนใจในงานที่ทำ รู้จักเรียนรู้ รู้จักลำดับความสำคัญของงานก่อนหลัง และพัฒนาตนเองแล้ว ก็จะเกิดความก้าวหน้าในการทำงาน อีกทั้งการสนใจในงานที่ทำจะทำให้เราพร้อมที่จะทำการสำรวจและประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลา ว่าเรามีจุดอ่อนจุดแข็งอะไร ควรปรับปรุงแก้ไขตนเองในด้านใดบ้าง
ส.ที่ 5 สุขใจ ดังที่ได้กล่าวไว้แต่ตอนต้นแล้วว่า ช่วงเวลาของคนเรา ช่วงเวลาในการทำงานถือว่ายาวนานที่สุด ฉะนั้น เราต้องทำงานที่เรารัก เราต้องทำงานที่เราชอบ เราจึงจะเกิดความสุขใจ แต่หากว่าเราไม่สามารถทำงานที่เรารักได้ เราก็ควรปรับตัวให้ รักในงานที่เราทำในปัจจุบัน เราก็จะเกิดความสุขใจ สบายใจในการทำงาน
สุดท้ายนี้ การสร้างความสุขในการทำงานยังมีปัจจัยต่างๆ ประกอบด้วย เช่น การสร้างบรรยากาศในห้องทำงาน โต๊ะ เก้าอี้ แฟ้มเอกสาร หนังสือ อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการทำงาน ควรเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย อีกทั้ง หลักการในการทำงานที่ดี ไม่ใช่การทำงานหนัก แต่ควรทำงานอย่างสม่ำเสมอ เพราะบางคนทำงานหนักเพียงแค่วันสองวัน แล้วหยุดยาว ตรงกันข้าม การทำงานอย่างสม่ำเสมอ จะได้ผลงานที่มากกว่า และสิ่งที่สำคัญ ควรแบ่งเวลาหรือบริหารเวลาให้เกิดความสมดุลขึ้นในการดำรงชีวิต เช่น เวลาสำหรับครอบครัวเวลาสำหรับการพักผ่อน เวลาสำหรับการทำงานอดิเรก เวลาสำหรับการเข้าสังคม เป็นต้น

#image_title

จงทำงานอย่างมีความกระตือรือร้น

จงทำงานอย่างมีความกระตือรือร้น

จงทำงานอย่างมีชีวิตชีวา
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

คนที่ไม่ก้าวหน้าในสายงานอาชีพของตนเอง มักเป็นคนที่ทำงานอย่างขี้เกียจ ไม่มีความกระตือรือร้น คิดแต่เรื่องลบ และขาดซึ่งชีวิตชีวาในการทำงาน หากว่าคุณเบื่องาน ท้อแท้ ท้อถอย แต่ในทางกลับกันถ้าคุณอยากทำงานอย่างมีความสุข คุณควรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตนเองใหม่ เปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อการทำงานเสียใหม่ คุณสามารถเปลี่ยนได้ดังนี้
ประการแรก คุณจงรักในงานที่คุณทำ หากคุณรักในงานที่คุณทำ คุณจะทำมันอย่างสนุก อย่างมีความสุข เอดิสัน เขาเอาอาหาร เครื่องดื่ม ไปทานในห้องทดลอง เขาเอาที่นอนไปนอนในห้องทำงาน เขามีความรักในงานที่เขาทำมาก เคยมีคนถาม เอดิสัน ว่า ทำอย่างไรให้มีความกระตือรือร้นในการทำงานอย่างเขา เขาตอบกลับไปว่า “ ผมไม่ได้ทำงาน แต่ ผมสนุกกับงานที่ผมทำต่างหาก” การที่เขามีความสนุกกับการทำงาน ทำให้เขาทำงานได้ตลอดคืน เขามีความเพลิดเพลินกับงานที่เขาทำ ดังนั้น จึงไม่ประหลาดใจเลยว่า ทำไม เขาถึงได้เป็น นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ เอกของโลก
ประการสอง คุณต้องหาปลาฉลามให้กับชีวิต ผมเคยได้รับ Forward mail เรื่องหนึ่งน่าสนใจมาก คือ คนญี่ปุ่นเขานิยมกินปลาและชอบเนื้อปลาสดๆ แต่ทะเลของญี่ปุ่นสมัยหนึ่งไม่มีปลาที่ชุกชุม ชาวญี่ปุ่นจึงต้องใช้เรือขนาดใหญ่ไปหาปลากลางทะเลลึก ซึ่งไกลจากฝั่งเป็นอันมาก การออกทะเลลึกแต่ละครั้งกินเวลาไป 3-4 วัน กว่าจะกลับเข้าฝั่ง ทำให้ปลาที่หามาได้ไม่สด คนญี่ปุ่นจึงไม่ชอบกิน
ต่อมาได้มีการคิดค้น ตู้แช่แข็ง กล่าวคือเมื่อจับปลาขึ้นมาได้ก็จะเก็บไว้ในตู้แช่แข็ง แต่ชาวญี่ปุ่นก็ไม่นิยมกินเช่นกันเพราะชาวญี่ปุ่นสามารถแยกรสชาติได้ ว่าอะไรคือรสชาติของปลาสดและรสชาติของปลาแช่แข็ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ บริษัทประมงแห่งหนึ่งจึงเริ่ม ติดตั้งแท็งก์น้ำขนาดใหญ่บนเรือ แล้วเอาปลาที่จับได้ใส่ลงไป แต่พอปลาถูกอยู่ในพื้นที่ที่จำกัด และถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาตามคลื่นทะเลอยู่หลายวัน สุดท้ายปลาก็ไม่ยอมว่ายน้ำ ซึม ขาดชีวิตชีวา แม้จะมีชีวิตอยู่ก็ตามแต่บางตัวก็ เหงา ซึม ไม่ยอมว่ายน้ำ จนตายในที่สุด ถึงแม้ปลาบางตัวที่ยังไม่ตาย เมื่อชาวญี่ปุ่นกินก็รู้และสัมผัสได้ถึงรสชาติว่า ปลาที่ไม่ได้ว่ายน้ำนานหลายวัน ซึม ใกล้ตายรสชาติแตกต่างกับปลาที่มีชีวิตชีวา ว่ายน้ำอย่างมีความสุขอย่างไร
คนญี่ปุ่นคนหนึ่ง จึงคิดไอเดียขึ้นมาได้ว่า เขาจะใส่ปลาฉลามเข้าไปในแท็งก์น้ำขนาดใหญ่ด้วย เขาให้เหตุผลว่า ปลาฉลามอาจกินปลาไปบางส่วนบ้าง แต่มันทำให้ปลาส่วนใหญ่มีชีวิตชีวามากขึ้น เนื่องจากต้องว่ายน้ำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกปลาฉลามกิน ทำให้ปลาส่วนใหญ่มีชีวิตชีวา มีความท้าทาย มากขึ้น
ตัวอย่างข้างต้นจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งก็ตาม แต่เนื้อเรื่องนี้มีความสนใจ เพราะถ้าหากท่านทำงานไปด้วยความเฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น ไม่มีความท้าทาย ขาดชีวิตชีวาในการทำงาน ไม่มีความสุขจากการทำงาน ท่านก็เหมือนปลาที่ไม่ได้ว่ายน้ำหลายวัน ซึม เหงา ใกล้ตาย ดังนั้น หากท่านอยากที่จะทำงานด้วยความกระตือรือร้น ท่านควรที่จะหาปลาฉลามใส่เข้าไปในชีวิตของท่านด้วย เพื่อให้ท่านเกิดความท้าทาย ในการที่จะทำงานอย่างกระตือรือร้น ปลาฉลามในที่นี้อาจเปรียบได้ดังเช่น ท่านควรมีการตั้งเป้าหมายขึ้นมาในชีวิต , ท่านควรมีความกล้าที่จะเปลี่ยนงานหากว่าท่านทำงานแล้วไม่เกิดความสนุก , ท่านควรหาความท้าทายใหม่ๆในการทำงาน เป็นต้น
ดังนั้น หากท่านมีความรักในงานที่ท่านทำ และท่านชอบหาความท้าทายในการทำงานอยู่เป็นประจำ ท่านก็จะเกิดความกระตือรือร้น ความมีชีวิตชีวา ขึ้นมาในงานที่ท่านทำ แล้วท่านจะทำงานอย่างมีความสนุกและเป็นสุขกับการทำงาน ท่านจะทำงานได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ท่านจะสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จงทำงานอย่างมีชีวิตชีวา แล้วชีวิตของท่านก็จะมีความสุขมากยิ่งขึ้น

#image_title

อย่ายอมแพ้ หากว่ายังไม่ได้ทำงานอย่างเต็มที่

อย่ายอมแพ้ หากว่ายังไม่ได้ทำงานอย่างเต็มที่

อย่ายอมแพ้…หากว่ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

“ ตลอดอาชีพนักกีฬาของผม ผมชู้ตลูกกว่า 9,000 ครั้ง ผมเล่นแพ้กว่า 300 นัด ผมต้องชู้ตลูก…ตัดสินแพ้ชนะให้ทีมพลาดถึง 26 ครั้ง ผมผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่ามาตลอดชีวิตและนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผม ประสบความสำเร็จ” เป็นคำพูดที่แฝงไปด้วยแง่คิดของ ไมเคิล จอร์แดน นักบาสเก็ตบอลที่มีชื่อเสียงระดับโลก
คนส่วนใหญ่มักเห็นแต่ตอนที่เขาประสบความสำเร็จแล้ว แต่มีน้อยคนนักที่จะทราบเบื้องหลังของความสำเร็จซึ่งเขาต้องพบกับอุปสรรค พบกับความยากลำบากและพบกับความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน ในอดีตเขาถูกคัดตัวออกจากการเป็นนักบาสเก็ตบอลในทีมของมหาวิทยาลัยที่เขาเรียน อีกทั้งเขาเคยยิงลูกพลาดในการเล่นบอสเก็ตบอลนัดสำคัญๆ บางนัดเขาชู้ตลูกสุดท้ายซึ่งเป็นลูกที่ตัดสินว่าจะแพ้ชนะในเกมส์การแข่งขันพลาด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ยอมแพ้กับความล้มเหลวเพียงแค่ชั่วคราว เขาเดินหน้าสู้ต่อ ด้วยการลงมือฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ โดยเขาฝึกยิงลูกบาสเก็ตบอลทุกๆวัน วันละเป็นร้อยๆครั้ง พันๆครั้ง และถ้าลูกไหนที่เขายิงพลาดเขาจะทำการวิเคราะห์ถึงสาเหตุ แล้วทำการแก้ไขให้ดีขึ้น
จนในที่สุด เขาเป็นนักบาสเก็ตที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหรัฐและในโลก จนได้รับเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง รางวัลต่างๆอีกเป็นจำนวนมาก เขามีผลงานต่างๆมากมายและที่สำคัญเขานำพาทีมชาติสหรัฐคว้าชัยชนะเหรียญทองโอลิมปิกถึง 2 สมัย
โทมัส เอลวา แอนดิสัน ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ยอมแพ้เพราะการที่เขาทำงานอย่างเต็มที่ หลอดไฟฟ้าดวงแรกจึงเกิดขึ้น เขาต้องล้มเหลว เขาต้องลองผิดลองถูกนับเป็น 1,000 ครั้ง ครั้งหนึ่งมีคนเคยถามเขาว่า “ อัจฉริยะ” คืออะไร เขาตอบกลับว่า อัจฉริยะ เกิดจากพรสวรรค์แค่ 1 เปอร์เซ็นต์ อีก 99 เปอร์เซ็นต์เกิดจากการทำงานอย่างหนัก
อัลเบิร์ท ไอน์สไตน์ กว่าที่เขาจะคิดค้นทฤษฏีสัมพันธภาพได้ เขาต้องใช้เวลาคิดอยู่นานหลายปี เขาพบกับความผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็พยายามทำงานอย่างเต็มที่ จนในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จในการคิดทฤษฏีและเป็นต้นกำเนิดในการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ในเวลาต่อมา
ผู้พันแซนเดอร์หรือผู้พัน KFC ในอดีตเปลี่ยนงานอยู่หลายงานและไม่ประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน จนกระทั่งเกษียณอายุ 60 ปี เขาเริ่มเปิดกิจการขายไก่ทอดเคนตั๊กกี้ ต่อมาเขาอยากให้คนทั่วสหรัฐอเมริกาได้กินไก่ทอดสูตรของเขา เขาจึงได้เสนอขายสูตรไก่ทอดแก่นักธุรกิจเป็นพันๆ ราย เขาพบกับความล้มเหลวและถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งนักธุรกิจคนที่ 1,009 ตอบรับการซื้อ
เจ้าสัวเทียม โชควัฒนาและเจ้าสัวชาตรี โสภณพานิช ก็เช่นกัน กว่าจะได้เป็นนักธุรกิจระดับประเทศ เขาต้องผ่านความยากลำบากต่างๆมาอย่างมากมาย เริ่มต้นจากศูนย์จนกระทั่งปัจจุบัน กิจการที่เขาสร้างมีมูลค่านับเป็นหมื่นล้าน แสนล้าน
บุคคลเหล่านี้ เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จอยู่ในระดับสูง เขาเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ในการทำงาน เขาจะทำงานอย่างเต็มความสามารถ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าหากเขายอมแพ้ เขาก็จะไม่มีชื่อเสียงปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ของโลก หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ท่านจึงไม่ควรยอมแพ้กับความล้มเหลวชั่วคราว จงกล้าที่จะล้มเหลวบ่อยๆ ถ้าหากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จ

#image_title