by drsuthichai | Jan 26, 2025 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ, ออนไลน์น่ารู้, เตือนภัยมิจฉาชีพออนไลน์
มีเป้าหมายมีความฝันก็ไร้ประโยชน์หากไม่ยอมลงมือทำ หากคุณตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่คุณต้องมีความกล้าหาญ มีความเชื่อมั่นในตนเอง และต้องพร้อมที่จะยอมเหนื่อย พร้อมที่จะยอมเดินทางที่ยาวไกลกว่าการตั้งเป้าหมายที่เล็ก

by drsuthichai | Jan 24, 2025 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ, ออนไลน์น่ารู้, เตือนภัยมิจฉาชีพออนไลน์
เราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตของเราได้ แต่เราสามารถควบคุมความพยายาม วิธีคิดและทัศนคติของตัวเอง เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จจงเต้นไปกับจังหวะของชีวิตของเราเอง จงเรียนรู้ที่จะเติบโต เข้มแข็ง ไปกับสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้

by RobRuThai | Jan 23, 2025 | ทั่วไป อื่นๆ
อุปกรณ์งานช่าง สกรูมีกี่ประเภทฉบับรวบรัด
สกรูเป็นอุปกรณ์ยึดติดที่สำคัญในการประกอบชิ้นงานต่างๆ ทั้งงานช่างทั่วไป งานก่อสร้าง และงานอุตสาหกรรม การเลือกใช้สกรูให้เหมาะสมกับงานนั้นๆ จะช่วยให้ผลงานออกมาแข็งแรงและสวยงามมากยิ่งขึ้น แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าสกรูมีหลากหลายประเภท และแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันไป ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับสกรูแต่ละประเภทกันอย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้สกรูได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

ทำไมต้องรู้จักประเภทของสกรู?
การรู้จักประเภทของสกรูเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสกรูแต่ละประเภทถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับวัสดุที่แตกต่างกัน และมีการใช้งานที่แตกต่างกันไป การเลือกใช้สกรูที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหา เช่น สกรูหลุด สกรูขาด หรือชิ้นงานเสียหายได้
ประเภทของสกรูที่นิยมใช้
สกรูมีหลากหลายประเภท แต่ละประเภทจะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป โดยแบ่งตามลักษณะของหัวสกรู, ลักษณะของเกลียว และวัสดุที่ใช้ผลิต ดังนี้
-
สกรูหัวแฉก (Phillips Head Screw)
สกรูหัวแฉกเป็นหนึ่งในประเภทของสกรูที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในงานช่าง โดยมีหัวสกรูที่เป็นรูปกากบาท ซึ่งต้องใช้ไขควงที่มีลักษณะหัวแฉกในการหมุน เพื่อยึดติดวัสดุต่าง ๆ เหมาะกับการใช้งานทั่วไป เช่น การประกอบเฟอร์นิเจอร์ การติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า และงานที่ต้องการความทนทานในการยึดติดในระยะยาว
-
สกรูหัวแบน (Flat Head Screw)
สกรูหัวแบนจะมีลักษณะหัวที่แบนเรียบ ซึ่งช่วยให้การยึดติดกับพื้นผิววัสดุทำได้สนิทและไม่ยื่นออกมา เหมาะสำหรับการใช้งานในกรณีที่ต้องการให้หัวสกรูอยู่ระดับเดียวกับวัสดุที่ยึดติด เช่น การประกอบไม้หรือการติดตั้งพื้นผิวที่ต้องการความเรียบเนียน
-
สกรูหัวหกเหลี่ยม (Hexagon Head Screw)
สกรูหัวหกเหลี่ยมมีลักษณะหัวที่เป็นรูปหกเหลี่ยม ซึ่งต้องใช้ประแจหกเหลี่ยมหรือหัวประแจที่เหมาะสมในการหมุน การใช้สกรูประเภทนี้มักจะพบในงานที่มีความแข็งแรงสูง เช่น งานก่อสร้าง การซ่อมแซมเครื่องจักร หรือการยึดติดวัสดุที่มีความแข็งแรงสูง
-
สกรูหัวโดม (Round Head Screw)
สกรูหัวโดมมีลักษณะหัวที่โดมกลมและมักใช้ในงานที่ต้องการให้สกรูไม่ยื่นออกมาจากพื้นผิวที่ยึดติด หรือในกรณีที่ไม่ต้องการให้หัวสกรูเป็นจุดเด่น สกรูประเภทนี้มักใช้ในการประกอบเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ต้องการความสวยงามหรือเรียบง่าย
-
สกรูตอก (Self-Tapping Screw)
สกรูตอกมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถเจาะผ่านวัสดุได้เองโดยไม่ต้องเจาะรูไว้ก่อน ซึ่งทำให้การใช้งานสะดวกและรวดเร็วขึ้น สกรูประเภทนี้มักใช้ในงานเหล็กหรือวัสดุที่แข็งแรง โดยเหมาะสำหรับการใช้งานที่ไม่ต้องการเครื่องมือหรือการเจาะรูล่วงหน้า
-
สกรูหางปลา (Wood Screw)
สกรูหางปลามีลักษณะเกลียวที่แตกต่างจากสกรูประเภทอื่น ๆ เนื่องจากมีเกลียวที่ยาวและละเอียด ทำให้สามารถยึดติดได้ดีในวัสดุที่เป็นไม้ โดยสกรูประเภทนี้จะมีหัวที่แหลมและมักใช้ในงานตกแต่งหรือการประกอบชิ้นส่วนไม้
สรุป
สกรูถือเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการยึดติดวัสดุต่าง ๆ ที่สำคัญในงานช่าง และมีหลากหลายประเภทให้เลือกใช้ ตามลักษณะงานและวัสดุที่ต้องการยึดติด เช่น สกรูหัวแฉก สกรูหัวแบน สกรูหัวหกเหลี่ยม สกรูตอก หรือแม้แต่สกรูสเตนเลส ซึ่งแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน การเลือกใช้สกรูที่เหมาะสมจะช่วยให้งานช่างเสร็จสมบูรณ์และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
by RobRuThai | Jan 22, 2025 | ทั่วไป อื่นๆ
มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่โลกจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3?
การถามว่า “โลกจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่?” เป็นคำถามที่หลายคนอาจสงสัยในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดระหว่างประเทศต่างๆ ทั่วโลกดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มีการเกิดสงครามที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือครั้งที่ 2 แต่การคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ยังคงเป็นหัวข้อที่นักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญในหลายสาขาให้ความสนใจและหาทางป้องกันอยู่เสมอ ในบทความนี้เราจะพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ที่อาจนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 และแนวทางในการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ
ในยุคปัจจุบัน ประเทศมหาอำนาจต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา, รัสเซีย, และจีน ล้วนมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของการเมืองโลกและการรักษาสมดุลทางการทูตและเศรษฐกิจ การที่ประเทศเหล่านี้มีความขัดแย้งในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การทหาร หรืออิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ ล้วนเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดความตึงเครียดจนถึงขั้นเกิดความขัดแย้งในระดับที่สูงขึ้น สถานการณ์เช่นนี้ทำให้บางคนมองว่าอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้
ความเสี่ยงจากการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
หนึ่งในปัจจัยที่เสี่ยงที่สุดที่จะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 คือการพัฒนาและการใช้งานอาวุธนิวเคลียร์ ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ถือเป็นมหาอำนาจที่สามารถกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างมาก การทดสอบอาวุธนิวเคลียร์และการแสดงพลังทางทหารในหลายๆ เหตุการณ์ เช่น การทดสอบอาวุธของเกาหลีเหนือ หรือการขยายอิทธิพลของรัสเซียในพื้นที่ต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสงครามขนาดใหญ่
การเผชิญหน้าของโลกดิจิทัลและไซเบอร์สงคราม
นอกจากการเผชิญหน้าทางทหารแล้ว ปัจจุบันเรายังต้องพิจารณาถึงการขยายตัวของสงครามไซเบอร์ที่มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความมั่นคงของประเทศต่างๆ การโจมตีทางไซเบอร์ที่มีต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น การโจมตีในระบบพลังงาน การขโมยข้อมูล หรือการแฮ็กในระบบการสื่อสาร ก็สามารถกระทบต่อความปลอดภัยของประเทศได้ ไม่ต่างจากการโจมตีทางทหาร จึงเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม’

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและผลกระทบทางเศรษฐกิจ
นอกจากการเมืองและความขัดแย้งระหว่างประเทศแล้ว ปัจจัยที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 3 อาจมาจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น น้ำสะอาด และที่ดินเพาะปลูก กลายเป็นเรื่องหายากมากขึ้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ อาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่แย่งชิงทรัพยากรเหล่านี้
แนวทางการป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 3
แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันอาจดูเหมือนมีความเสี่ยงต่อการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 แต่มีหลายแนวทางที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวได้ หนึ่งในแนวทางสำคัญคือการสร้างความเข้าใจระหว่างประเทศผ่านการเจรจาทางการทูตและการร่วมมือในประเด็นต่างๆ เช่น การควบคุมอาวุธ การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และการจัดการกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
นอกจากนี้ การเสริมสร้างความร่วมมือในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) และองค์การการค้าโลก (WTO) ก็มีความสำคัญในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงของโลก โดยการให้ความสำคัญกับการเจรจาและการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในระดับโลกด้วยวิธีทางสันติ
สรุป
แม้ว่าการคาดการณ์ว่าโลกจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 อาจเป็นเรื่องที่ยากจะบอกได้แน่ชัด แต่ปัจจัยหลายประการที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็สามารถสร้างความตึงเครียดที่อาจนำไปสู่สงครามโลกได้ หากไม่มีการบริหารจัดการอย่างรอบคอบ การสร้างสันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างจริงจังจะเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงเหล่านี้ โดยเฉพาะในเรื่องของการเจรจาทางการทูตและการเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างประเทศที่มีความขัดแย้ง
by RobRuThai | Jan 21, 2025 | ทั่วไป อื่นๆ
แผนการดีท็อกซ์ 1 วัน เริ่มต้นการล้างพิษร่างกายเพื่อสุขภาพ
การทำดีท็อกซ์เป็นวิธีการหนึ่งที่หลายคนนิยมใช้เพื่อขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้รู้สึกสดชื่นและมีพลังงานมากขึ้น การดีท็อกซ์ 1 วัน ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและดูแลสุขภาพ โดยไม่ต้องใช้เวลามากเกินไป ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำแผนการดีท็อกซ์ 1 วันที่คุณสามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน
ทำไมต้องดีท็อกซ์?
การดีท็อกซ์ช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนจากการทำงานหนัก และช่วยขจัดสารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายจากอาหารที่ผ่านการปรุงแต่ง อาหารแปรรูป และมลพิษต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น ระบบย่อยอาหารไม่ดี ผิวพรรณหมองคล้ำ และรู้สึกอ่อนล้า

แพลนการทำดีท็อกซ์ 1 วัน
การทำดีท็อกซ์ 1 วันจะเริ่มต้นด้วยการเตรียมตัวล่วงหน้า เพื่อให้สามารถทำการดีท็อกซ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สิ่งที่สำคัญคือการเลือกอาหารที่ช่วยล้างสารพิษและปรับสมดุลร่างกาย ซึ่งแพลนการทำดีท็อกซ์ 1 วันนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องใช้เวลามากมาย
เช้า การเริ่มต้นวันด้วยน้ำมะนาวและสมูทตี้
เริ่มต้นการทำดีท็อกซ์ในตอนเช้าด้วยการดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเพื่อกระตุ้นการทำงานของตับและระบบย่อยอาหาร น้ำมะนาวช่วยกระตุ้นการขับของเสียและช่วยทำความสะอาดร่างกาย หลังจากนั้นสามารถดื่มสมูทตี้ที่เต็มไปด้วยผักและผลไม้ เช่น ผักโขม, แครอท, แตงกวา, หรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้มและเบอร์รี่ สมูทตี้เหล่านี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงร่างกายและขับสารพิษออก
กลางวัน อาหารมื้อกลางวันที่เบาและย่อยง่าย
มื้อกลางวันในการทำดีท็อกซ์ควรเน้นอาหารที่เบาและย่อยง่าย เช่น สลัดผักสดที่มีส่วนผสมของผักใบเขียว, อะโวคาโด, และถั่วต่าง ๆ การใส่น้ำมันมะกอกสกัดเย็นหรือซอสจากมะนาวลงในสลัดจะช่วยเสริมความอร่อยและเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ อีกทั้งยังช่วยลดการสะสมของไขมันและทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารปรุงแต่งหรืออาหารที่หนักเกินไปในมื้อกลางวันเป็นสิ่งสำคัญในการทำดีท็อกซ์
บ่าย การดื่มชาและน้ำเยอะ ๆ
ในช่วงบ่าย, ควรดื่มชาเขียวหรือชาอู่หลง ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ชาเหล่านี้ช่วยในการขับสารพิษจากร่างกายและกระตุ้นระบบการเผาผลาญ อีกทั้งยังช่วยให้รู้สึกสดชื่นและไม่ง่วงระหว่างวัน ควรดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยให้ตั้งเป้าหมายในการดื่มน้ำให้ได้ประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน
เย็น อาหารมื้อเย็นที่เบาและปรับสมดุล
มื้อเย็นควรเป็นอาหารที่เบาและย่อยง่าย เพื่อไม่ให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักจนเกินไป อาหารที่แนะนำ ได้แก่ ซุปผักหรือสลัดผักต้มที่ปรุงจากผักตระกูลกระหล่ำ เช่น กระหล่ำปลี หรือบล็อคโคลี่ ผักเหล่านี้ช่วยในการล้างสารพิษและเสริมสร้างสุขภาพได้ดี การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงในมื้อเย็นจะช่วยให้กระบวนการดีท็อกซ์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สรุป
การทำดีท็อกซ์ 1 วัน เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนและขจัดสารพิษ อย่างไรก็ตาม การดีท็อกซ์ไม่ใช่การแก้ปัญหาสุขภาพในระยะยาว การดูแลสุขภาพที่ดีควรทำอย่างสม่ำเสมอ เช่น การกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ และพักผ่อนให้เพียงพอ
by RobRuThai | Jan 20, 2025 | ทั่วไป อื่นๆ
คนไทยเริ่มเสียภาษีตั้งแต่อายุเท่าไร แล้วเงินเดือนเท่าไรต้องจ่าย?
การจ่ายภาษีถือเป็นหนึ่งในหน้าที่ของประชาชนทุกคนที่ทำงานและมีรายได้ รวมถึงการเข้าใจถึงกฎหมายเกี่ยวกับภาษีที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายและไม่เกิดปัญหาทางการเงินในภายหลัง ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับว่า คนไทยเริ่มเสียภาษีตั้งแต่อายุเท่าไร และเงินเดือนเท่าไรที่ต้องเสียภาษี พร้อมทั้งข้อกำหนดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการเงินได้อย่างเหมาะสมและไม่ผิดพลาด

คนไทยเริ่มเสียภาษีตั้งแต่อายุเท่าไร?
คำตอบคือ ไม่มีอายุที่กำหนดตายตัวว่าจะต้องเริ่มเสียภาษี การเสียภาษีไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ แต่ขึ้นอยู่กับ จำนวนเงินได้ ที่ได้รับในแต่ละปี หากคุณมีรายได้เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ ไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไรก็ต้องเสียภาษีทั้งสิ้น
เงินเดือนเท่าไรต้องจ่ายภาษี?
เกณฑ์ในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย จะมีการปรับเปลี่ยนไปในแต่ละปี โดยทั่วไปแล้ว หากคุณมี เงินได้สุทธิเกิน 120,000 บาทต่อปี คุณจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90) และอาจต้องเสียภาษีตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
หมายเหตุ: เงินได้สุทธิ หมายถึง รายได้ทั้งหมดที่ได้รับในหนึ่งปี หักค่าใช้จ่ายที่หักลดหย่อนได้ตามกฎหมายแล้ว
อัตราภาษีบุคคลธรรมดา
- รายได้ไม่เกิน 150,000 บาท หากรายได้ในปีนั้นๆ ไม่เกิน 150,000 บาท จะไม่ต้องเสียภาษี (เป็นรายได้ที่ได้รับการยกเว้นจากภาษี)
- รายได้ตั้งแต่ 150,001 – 300,000 บาท หากรายได้ของคุณอยู่ในช่วงนี้ จะต้องเสียภาษีในอัตรา 5% ของรายได้ที่เกินจาก 150,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากคุณมีรายได้ 250,000 บาท ภาษีที่ต้องจ่ายจะเป็น 5% ของ 100,000 บาท คือ 5,000 บาท
- รายได้ตั้งแต่ 300,001 – 500,000 บาท อัตราภาษีสำหรับช่วงนี้คือ 10% ซึ่งจะคำนวณจากรายได้ที่เกิน 300,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากรายได้ของคุณอยู่ที่ 400,000 บาท ภาษีที่ต้องจ่ายจะเป็น 10% ของ 100,000 บาท คือ 10,000 บาท
- รายได้ตั้งแต่ 500,001 – 750,000 บาท อัตราภาษีในช่วงนี้คือ 15% ของรายได้ที่เกิน 500,000 บาท เช่น หากคุณมีรายได้ 700,000 บาท คุณจะต้องจ่ายภาษี 15% ของ 200,000 บาท คือ 30,000 บาท
- รายได้ตั้งแต่ 750,001 – 1,000,000 บาท หากรายได้ของคุณอยู่ในช่วงนี้ จะต้องเสียภาษีในอัตรา 20% ของรายได้ที่เกินจาก 750,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากรายได้ของคุณคือ 900,000 บาท ภาษีที่ต้องจ่ายคือ 20% ของ 150,000 บาท คือ 30,000 บาท
- รายได้ตั้งแต่ 1,000,001 – 2,000,000 บาท อัตราภาษีที่ต้องจ่ายในช่วงนี้คือ 25% ซึ่งจะคิดจากรายได้ที่เกินจาก 1,000,000 บาท
- รายได้ตั้งแต่ 2,000,001 – 4,000,000 บาท อัตราภาษีคือ 30% ของรายได้ที่เกินจาก 2,000,000 บาท
- รายได้เกิน 4,000,000 บาท หากรายได้ของคุณเกิน 4,000,000 บาท จะต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดคือ 35%

ตัวอย่างการคำนวณภาษีรายได้
สมมุติว่าในปีหนึ่งคุณมีรายได้รวมทั้งปี 600,000 บาท การคำนวณภาษีจะเป็นไปตามขั้นบันไดภาษี โดยมีการหักค่าลดหย่อนต่างๆ ตามที่กำหนด เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ค่าลดหย่อนบุตร ค่าลดหย่อนสำหรับประกันสังคม และอื่นๆ ซึ่งจะช่วยลดภาระภาษีที่คุณต้องจ่ายลง ซึ่งการคำนวณภาษีนั้นยังสามารถทำได้ด้วยการติดต่อ สำนักงานบัญชี เพื่อให้ได้มาซึ่งรายละเอียดที่แม่นยำกว่า