กลยุทธ์ในการเทรดหุ้น

กลยุทธ์ในการเทรดหุ้น

          กลยุทธ์เทรดหุ้น เทรดหุ้นสร้างรายได้ในยุคปัจจุบันนั้นมีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าในอดีตมาก เนื่องจากมีการนำเทคโนโลยีและข้อมูลต่างๆ เข้ามาใช้ในการวิเคราะห์หุ้นมากขึ้น ทำให้เทรดหุ้นสร้างรายได้สามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วขึ้น

กลยุทธ์เทรดหุ้น เทรดหุ้นสร้างรายได้ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีอยู่หลายแบบ แต่ละกลยุทธ์ก็จะมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความถนัดและความชอบของแต่ละบุคคล โดยกลยุทธ์เทรดหุ้นเทรดหุ้นสร้างรายได้ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

  1. กลยุทธ์เทรดหุ้นแบบพื้นฐาน (Fundamental Analysis)

กลยุทธ์เทรดหุ้น เทรดหุ้นสร้างรายได้แบบพื้นฐานนี้ จะเน้นไปที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เช่น งบการเงิน ผลประกอบการ อุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินการอยู่ เป็นต้น เพื่อประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นตัวนั้นๆ และตัดสินใจว่าหุ้นตัวนั้นๆ มีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคตหรือไม่

  1. กลยุทธ์เทรดหุ้นแบบเทคนิค (Technical Analysis)

กลยุทธ์เทรดหุ้นเทรดหุ้นสร้างรายได้แบบเทคนิคนี้ จะเน้นไปที่การวิเคราะห์ราคาหุ้นในอดีต เพื่อหาแนวโน้มราคาในอนาคต โดยจะใช้เครื่องมือทางเทคนิคต่างๆ เช่น กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) หรือดัชนีชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อวิเคราะห์หาจุดซื้อขายที่เหมาะสม

ทั้งนี้ กลยุทธ์เทรดหุ้นทั้ง 2 ประเภทนี้ ก็มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป โดยกลยุทธ์เทรดหุ้นเทรดหุ้นสร้างรายได้แบบพื้นฐานนั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่า เนื่องจากมีการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว แต่ก็อาจจะต้องใช้เวลามากกว่าในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ส่วนกลยุทธ์เทรดหุ้นเทรดหุ้นสร้างรายได้แบบเทคนิคนั้นมีความเสี่ยงมากกว่า เนื่องจากมีการวิเคราะห์ราคาหุ้นในอดีต ซึ่งอาจจะไม่สะท้อนถึงราคาหุ้นในอนาคตได้อย่างแม่นยำ แต่ก็เป็นกลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็วหากใช้อย่างถูกต้อง

ดังนั้น นักลงทุนจึงควรศึกษาและทำความเข้าใจกลยุทธ์เทรดหุ้นเทรดหุ้นสร้างรายได้ทั้ง 2 ประเภทนี้ให้ดีเสียก่อน เพื่อที่จะสามารถเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวเองได้ และที่สำคัญที่สุดคือ ควรมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี เพื่อลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้

การตลาดออนไลน์ ทำไมต้องทำ SEO

การตลาดออนไลน์ ทำไมต้องทำ SEO

SEO (Search Engine Optimization) คือกระบวนการหรือกิจกรรมที่ใช้เพื่อเพิ่มความน่าเห็นของเว็บไซต์หรือเนื้อหาบนเว็บไซต์ในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google, Bing, Yahoo, และเครื่องมืออื่น ๆ โดย SEO มุ่งเน้นในการปรับปรุงและปรับแต่งเนื้อหาของเว็บไซต์และโครงสร้างของเว็บไซต์เพื่อทำให้เว็บไซต์ดังกล่าวมีโอกาสปรากฏในอันดับสูงในผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

SEO มีหลายประการแต่ละประการมุ่งเน้นในด้านต่าง ๆ ของเว็บไซต์และการโปรโมตออนไลน์ บางประการได้แก่:

  1. การค้นหาคำค้นหา (Keyword Research) การวิจัยและเลือกคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณและมีความนิยมในการค้นหา เพื่อนำมาใช้ในเนื้อหาและส่วนหัวของเว็บไซต์ของคุณ.
  2. การเขียนเนื้อหา (Content Optimization) การเขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีความน่าสนใจสำหรับผู้อ่านและการจัดรูปแบบเนื้อหาเพื่อให้ตรงกับคำค้นหาที่เป็นเป้าหมาย.
  3. การจัดโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) การจัดโครงสร้างเว็บไซต์ให้มีความสัมพันธ์และง่ายต่อการนำทาง เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าถึงเนื้อหาได้ง่าย.
  4. การสร้างลิงก์ (Link Building) การสร้างลิงก์ที่ชั้นดีมายังเว็บไซต์ของคุณเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและความน่าสนใจในสายลิงก์ของเว็บไซต์.
  5. การปรับแต่งเว็บไซต์ (On-Page Optimization) การปรับแต่งส่วนหัว (title tags), ข้อความลิงก์ (anchor text), และรูปแบบอื่น ๆ ของเว็บไซต์เพื่อให้เข้ากับการค้นหา.
  6. การจัดการความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ (Site Speed and Performance) การปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ให้โหลดเร็วและสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น.
  7. การใช้ SEO Tools และการวิเคราะห์ผล (SEO Tools and Analytics): การใช้เครื่องมือ SEO และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อวัดประสิทธิภาพและปรับปรุงกิจกรรม SEO ของคุณ.

SEO เป็นส่วนสำคัญของการทำการตลาดออนไลน์และการเพิ่มความน่าเห็นของเว็บไซต์ การปฏิบัติ SEO อย่างเหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการเพิ่มผู้เยี่ยมชมและลูกค้าสำหรับเว็บไซต์หรือธุรกิจออนไลน์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

ในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันทางการตลาดสูงลิ้ว การทำ SEO ก็เป็นอีกตัวชี้วัดความนิยมของสินค้าและบริการ ฉะนั้นต้องมีผู้ช่วยทำ SEO  หรือ เว็บไซตที่ดี สนใจทำเว็บไซต์ของตัวเอง ใช้บริการ Websitegang เราคือทีมงานมืออาชีพ ที่ให้บริการลูกค้าทั่วประเทศนานกว่า 15 ปี    https://www.websitegang.com/

โทร. 080 260 9380/083 470 9900 หรือ 090 321 8989 

 

ทำเว็บไซต์ทำไมเลือกใช้ CMS

ทำเว็บไซต์ทำไมเลือกใช้ CMS

การเลือกใช้ระบบการจัดการเนื้อหาหรือ Content Management System (CMS) เมื่อคุณสร้างเว็บไซต์นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ เรามาดูเหตุผลที่คนมักเลือกใช้ CMS ในการพัฒนาเว็บไซต์ดังนี้:

  1. ความสะดวกในการใช้งาน: CMS มักมีอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและเข้าใจได้ง่าย ทำให้ผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในการเขียนโค้ดก็สามารถจัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ง่ายมาก นอกจากนี้ CMS ยังมีระบบสิทธิ์และการจัดการผู้ใช้ที่สะดวกในการควบคุมการเข้าถึงและการแก้ไขข้อมูลบนเว็บไซต์
  2. การอัพเดตและการดูแลรักษา: CMS มักมีการอัพเดตและการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องจากผู้พัฒนาซอฟต์แวร์พัฒนา CMS นั้นมีการแก้ไขปัญหาและที่สำคัญคือปรับปรุงความปลอดภัย เพื่อป้องกันการโจมตีและการแฮกเว็บไซต์
  3. ประหยัดเวลาและงบประมาณ: CMS ช่วยลดเวลาในการสร้างเว็บไซต์ เนื่องจากมีรูปแบบและฟังก์ชั่นพื้นฐานที่ใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ CMS ยังมีปลั๊กอินและธีมที่ให้เลือกใช้เพื่อปรับแต่งลักษณะและฟังก์ชั่นเพิ่มเติมได้ตามความต้องการโดยไม่ต้องเขียนโค้ดใหม่ทั้งหมด
  4. รองรับความยืดหยุ่น: ส่วนใหญ่ CMS มีการเปิดโค้ด (open source) ซึ่งทำให้สามารถปรับแต่งและขยายฟังก์ชั่นต่าง ๆ ได้ตามความต้องการของโปรเจค เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพหรือแก้ไขฟังก์ชั่นต่าง ๆ ตามความต้องการของเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย
  5. ชุมชนและการสนับสนุน: CMS มักมีชุมชนในการพัฒนาและการสนับสนุนที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งทำให้คุณสามารถหาความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วผ่านชุมชนและคู่ค้าที่มีประสบการณ์

การเลือกใช้ CMS หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความต้องการและวัตถุประสงค์ของโปรเจคของคุณ ถ้าคุณต้องการสร้างเว็บไซต์โดยรวดเร็วและง่ายด้วยเนื้อหาที่มีการอัพเดตบ่อย ๆ และต้องการความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง เลือกใช้ CMS อาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณในการพัฒนาเว็บไซต์ของคุณครับ.

cms คืออะไร

CMS ย่อมาจาก “Content Management System” หรือ “ระบบการจัดการเนื้อหา” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยในการสร้าง จัดการ และปรับแต่งเนื้อหาบนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันออนไลน์ ด้วย CMS คุณสามารถสร้างเว็บไซต์หรือเพจเว็บได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายโดยไม่ต้องมีความรู้ทางเทคนิคหรือการเขียนโค้ดเอง โดยมีตัวอย่าง CMS ที่มีชื่อดังเช่น WordPress, Joomla, Drupal และ Magento ซึ่งมีความนิยมในการใช้งานในวงการเว็บไซต์และอีคอมเมิร์ซออนไลน์อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

cms อะไรที่เป็นที่นิยมสูงสุด?

CMS ที่เป็นที่นิยมสูงสุดอยู่ในช่วงปี 2000-2003 (ปัจจุบัน) ลำดับตามสถิติการใช้งาน

  1. WordPress: WordPress เป็น CMS ที่ใช้กันอย่างกว้างขวางและเป็นที่นิยมสูงสุดทั่วโลก มันใช้งานง่ายและมีโมดูลและปลั๊กอินมากมายที่ช่วยในการกำหนดรูปแบบและฟังก์ชันต่าง ๆ ของเว็บไซต์.
  2. Joomla: Joomla เป็น CMS ที่มีความยืดหยุ่นในการจัดการเนื้อหาและมีชุมชนที่ใหญ่ในการสนับสนุนและพัฒนา.
  3. Drupal: Drupal เป็น CMS ที่เหมาะสำหรับโครงการขนาดใหญ่และมีความซับซ้อน มันให้ความคุ้มค่าสำหรับโครงการที่ต้องการความปลอดภัยและการควบคุมที่มากขึ้น.
  4. Magento: Magento เป็น CMS ที่เฉพาะกับการขายของออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ มันมีความสามารถในการจัดการร้านค้าออนไลน์ที่ซับซ้อน.
  5. Wix: Wix เป็นแพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายและเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างเว็บไซต์ส่วนตัวหรือธุรกิจขนาดเล็ก.

กรุณาทราบว่าความนิยมของ CMS อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้น, สำหรับข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับ CMS ที่เป็นที่นิยมสูงสุด, ควรตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่มีข้อมูลเป็นปัจจุบัน เช่นเว็บไซต์และบทความเทคโนโลยี.

4 Platform  AI ที่กำลังฮิตในตอนนี้! แถมยังสร้างรายได้ ได้ด้วย

4 Platform AI ที่กำลังฮิตในตอนนี้! แถมยังสร้างรายได้ ได้ด้วย

4 Platform  AI ที่กำลังฮิตในตอนนี้! แถมยังสร้างรายได้ ได้ด้วย

วันนี้ C-Skills News จะขอแนะนำ 4 Platform ที่จะช่วยทำให้ชีวิตการทำงานของคุณง่ายขึ้น

ที่มา : https://www.dmit.co.th/th/google-workspace-customer-stories/canva-with-google-workspace/

1.Canva: ให้บริการสร้างสรรค์และออกแบบกราฟิก 3 มิติ และวิดีโอ ด้วยเทคโนโลยี AI และมีเครื่องมือที่ใช้ง่ายและสามารถปรับแต่งได้หลากหลาย

Canva เป็นแพลตฟอร์มสร้างสรรค์และออกแบบกราฟิก 3 มิติ และวิดีโอ โดยใช้เทคโนโลยี AI ในการช่วยในการออกแบบ โดยเว็บไซต์ Canva มีเครื่องมือในการออกแบบและตกแต่งภาพที่หลากหลาย เช่น ภาพพื้นหลัง ภาพประกอบ ภาพสต็อก และภาพเวกเตอร์ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างงานออกแบบที่สวยงามและมีความสมบูรณ์ได้อย่างรวดเร็ว

โดยเมื่อผู้ใช้งานนำภาพหรือโลโก้ที่ต้องการใช้งานมาใส่ลงในแพลตฟอร์ม Canva แล้ว ระบบ AI จะทำการตรวจสอบภาพและแนะนำภาพประกอบที่เหมาะสมและที่สวยงามสำหรับงานออกแบบนั้นๆ ให้ผู้ใช้งานเลือกใช้ได้ตามความต้องการ

นอกจากนี้ Canva ยังมีเครื่องมือในการตกแต่งภาพที่สามารถปรับแต่งและประยุกต์ใช้งานได้อย่างหลากหลาย เช่น เครื่องมือในการเพิ่มข้อความ การปรับแต่งความสวยงามของภาพ การเพิ่มอินฟอกราฟิกเข้าไปในภาพ เป็นต้น

การสร้างรายได้จาก Canva

การสร้างรายได้จาก Canva สามารถทำได้โดยหลายวิธีดังนี้:

  1. การขายงานออกแบบ: ผู้ใช้ Canva สามารถสร้างงานออกแบบและขายในตลาดออนไลน์ เช่น Etsy, Creative Market, หรือ Shutterstock โดยมีรายได้จากการขายภาพหรือการออกแบบที่สร้างขึ้นด้วย Canva นั้น
  2. การขายบริการออกแบบ: ผู้ใช้ Canva สามารถขายบริการออกแบบให้กับลูกค้าโดยตรง โดยใช้ Canva เป็นเครื่องมือในการออกแบบ
  3. การจัดอบรม: ผู้ใช้ Canva สามารถจัดอบรมการใช้งาน Canva และเทคนิคการออกแบบให้กับผู้ที่สนใจโดยเสียค่าใช้จ่าย
  4. การให้บริการออกแบบในเว็บไซต์หรือโปรแกรมอื่น: ผู้ใช้ Canva สามารถใช้งาน Canva ในการออกแบบส่วนต่างๆ ในเว็บไซต์หรือโปรแกรมอื่นและขายบริการนี้ให้กับลูกค้า
  5. การพัฒนาธีมและเทมเพลต: ผู้ใช้ Canva สามารถสร้างธีมและเทมเพลตต่างๆ ใน Canva และขายให้กับผู้ใช้งานอื่นที่ต้องการใช้งาน
  6. การเป็นพันธมิตรกับ Canva: ผู้ใช้งานสามารถเข้าร่วมโปรแกรมพันธมิตรของ Canva และสร้างรายได้จากการแนะนำ Canva ให้กับผู้ใช้งานอื่น

การวางแผนการทำงานอย่างรอบคอบ การสร้างรายได้จาก Canva นั้นไม่ได้เป็นเรื่องง่าย ต้องการการวางแผนและการทำงานอย่างรอบคอบ ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนที่สามารถช่วยให้คุณสร้างรายได้จาก Canva ได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

  1. กำหนดเป้าหมาย: ก่อนที่จะเริ่มทำงานกับ Canva คุณต้องกำหนดเป้าหมายของคุณไว้ก่อนว่าต้องการสร้างรายได้จาก Canva เพื่ออะไรและเป้าหมายการเติบโตของคุณคืออะไร
  2. พัฒนาทักษะการออกแบบ: การพัฒนาทักษะการออกแบบเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณสร้างงานออกแบบที่ดีและมีคุณภาพสูง ในการใช้ Canva คุณต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งานเครื่องมือต่างๆ ใน Canva
  3. สร้างผลงานที่มีคุณภาพสูง: การสร้างผลงานที่มีคุณภาพสูงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้รับความนิยมจากลูกค้า คุณควรสร้างผลงานที่เป็นไปตามต้องการของลูกค้าและมีคุณภาพสูง
  4. ตลาดสินค้าของคุณ: คุณสามารถเปิดร้านค้าออนไลน์ใน Etsy หรือ Creative Market เพื่อขายงานออกแบบหรือภาพที่คุณสร้างขึ้นด้วย Canva โดยต้องออกแบบและตกแต่งร้านของคุณให้มีคุณ

ที่มา : https://www.logoai.com/

2.LogoAI เป็นเว็บไซต์ที่มีบริการสร้างโลโก้อัตโนมัติด้วยเทคโนโลยี AI ที่เรียกว่า Generative Adversarial Networks (GANs) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้การเรียนรู้เชิงลึกเพื่อสร้างภาพที่มีคุณภาพสูง โดย LogoAI มีการออกแบบโลโก้ให้กับผู้ใช้ที่ต้องการสร้างโลโก้แบบง่าย ๆ แต่มีคุณภาพสูง โดยผู้ใช้สามารถเลือกสี และตัวอักษรที่ต้องการในโลโก้ของตนเองและระบบจะสร้างโลโก้ตามที่ผู้ใช้เลือก

LogoAI มีความสะดวกสบายและง่ายต่อการใช้งาน ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างโลโก้เพื่อใช้ในงานต่างๆได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ราคาของ LogoAI ก็เป็นไปตามความสะดวกสบายของการใช้งาน โดยมีแพ็กเกจต่างๆ ที่ผู้ใช้สามารถเลือกซื้อได้ตามต้องการ ถ้าคุณกำลังมองหาเว็บไซต์สำหรับการสร้างโลโก้ที่มีคุณภาพและง่ายต่อการใช้งาน LogoAI เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่คุณควรพิจารณาในการใช้งานของคุณ

การสร้างรายได้จาก LogoAI 

LogoAI เป็นเว็บไซต์ที่มีระบบสร้างโลโก้แบบอัตโนมัติ ซึ่งสามารถสร้างโลโก้ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย แต่ไม่ได้เป็นเว็บไซต์ที่มีระบบพันธมิตรหรือระบบแบนเนอร์โฆษณาเพื่อสร้างรายได้

แต่สำหรับผู้ที่มีทักษะในการออกแบบโลโก้และเข้าใจการทำงานของ LogoAI อย่างดี ก็สามารถใช้ LogoAI เพื่อสร้างโลโก้สำหรับลูกค้าของตนเองได้ โดยมีวิธีการทำงานดังนี้

  1. สร้างโลโก้ให้กับลูกค้า โดยใช้ LogoAI เพื่อสร้างโลโก้ตามที่ลูกค้าต้องการ
  2. คิดราคาที่เหมาะสมสำหรับการออกแบบโลโก้และส่งให้ลูกค้า
  3. รับการชำระเงินจากลูกค้าที่ตกลงใช้บริการของคุณ
  4. ส่งไฟล์โลโก้ให้กับลูกค้า

ดังนั้น LogoAI เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการสร้างโลโก้และมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย แต่วิธีการสร้างรายได้จาก LogoAI จะต้องเป็นผู้มีทักษะและความรู้ในการใช้งานและการตลาดเพื่อสร้างและเติมเต็มศักยภาพในการสร้างรายได้ได้อย่างมากกว่า

ที่มา : https://test.terrificminds.com/adobe-sensei/

3.Adobe Sensei: เป็นแพลตฟอร์ม AI จาก Adobe ที่ใช้ในการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานโปรแกรมต่างๆ เช่น Photoshop, Illustrator, Premiere Pro และอื่นๆ

Adobe Sensei เป็นแพลตฟอร์ม AI ของ Adobe ที่มีไว้เพื่อช่วยในการสร้างสรรค์งานออกแบบและสื่อสารโดยใช้เทคโนโลยี AI และ Machine Learning ที่มีความซับซ้อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการทำงานให้กับผู้ใช้งาน

Adobe Sensei ช่วยให้ผู้ใช้งาน Adobe Creative Cloud สามารถใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ของโปรแกรมได้มากขึ้น รวมถึงช่วยให้งานออกแบบและการสร้างสื่อสารที่มีความสมบูรณ์แบบและสวยงามขึ้นด้วยความประหยัดเวลาและความแม่นยำของ AI

อีกทั้งยังมีเครื่องมือที่เชื่อมโยงกับ Adobe Sensei เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งาน AI ในการทำงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการปรับแต่งรูปภาพอัตโนมัติ การค้นหาภาพด้วยการใช้ AI การสร้างภาพโฆษณาและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและสื่อสาร

ดังนั้น Adobe Sensei เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่สำคัญและเหมาะสมสำหรับนักออกแบบที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้วยเทคโนโลยี AI และ Machine Learning ที่สามารถช่วยให้งานออกแบบของคุณมีความสมบูรณ์และมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

การสร้างรายได้จาก Adobe Sensei

Adobe Sensei เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและสื่อสาร ซึ่งมีฟีเจอร์หลากหลายที่ช่วยให้นักออกแบบทำงานได้มากขึ้น และสามารถสร้างรายได้ได้หลากหลายวิธี เช่น

  1. การเรียนรู้ใช้งาน Adobe Sensei: นักออกแบบสามารถเรียนรู้การใช้งาน Adobe Sensei ให้เป็นอย่างดีเพื่อใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ในการสร้างงานออกแบบ ทำให้งานออกแบบมีคุณภาพและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
  2. การใช้ Adobe Sensei ในการสร้างงานออกแบบ: การใช้ Adobe Sensei เพื่อช่วยในการสร้างงานออกแบบที่มีความสมบูรณ์และสวยงามขึ้น สามารถช่วยให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น และจะช่วยลดเวลาในการทำงานลงได้เช่นกัน
  3. การพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ: การพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ บน Adobe Sensei เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถให้กับผู้ใช้งานใหม่ ๆ ซึ่งสามารถขายเป็นสินค้าหรือบริการได้ เช่น การพัฒนาฟีเจอร์การตัดต่อวิดีโอด้วย AI ฯลฯ
  4. การใช้ Adobe Sensei ในการสร้างภาพโฆษณา: Adobe Sensei สามารถช่วยในการสร้างภาพโฆษณาที่มีความสวยงาม

ที่มา : https://www.beartai.com/review/appreview/111783

4.Artisto: ให้บริการแอปพลิเคชันสำหรับแปลงวิดีโอและภาพถ่ายให้เป็นภาพวาด โดยใช้เทคโนโลยี AI

Artisto เป็นแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ที่สามารถใช้ AI เพื่อแปลงวิดีโอและภาพนิ่งให้เป็นศิลปะดิจิตอลได้อย่างง่ายดาย โดยเว็บไซต์นี้ใช้เทคโนโลยี AI ในการจำแนกวิดีโอและภาพ และปรับแต่งด้วยฟิลเตอร์ที่สวยงาม

นอกจากนี้ ผู้ใช้สามารถสร้างภาพศิลปะดิจิตอลจากภาพหรือวิดีโอของตนเองโดยใช้ฟังก์ชันที่อยู่ในเว็บไซต์ ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างงานศิลปะดิจิตอลที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ได้

ในเชิงธุรกิจ การสร้างรายได้จาก Artisto สามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น

  1. การเปิดขายภาพศิลปะดิจิตอล: ผู้ใช้งาน Artisto สามารถสร้างภาพศิลปะดิจิตอลจากวิดีโอหรือภาพนิ่งของตนเองและจำหน่ายในราคาที่ตนเองกำหนดได้
  2. การให้บริการสร้างภาพศิลปะดิจิตอลให้กับลูกค้า: บริการสร้างภาพศิลปะดิจิตอลที่มีคุณภาพสูงสามารถขายให้กับลูกค้าได้ โดยเฉพาะลูกค้าที่ต้องการภาพศิลปะดิจิตอลที่เป็นเอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร
การสร้างรายได้จาก Artisto

ในการสร้างรายได้จาก Artisto สามารถทำได้หลากหลายวิธี ดังนี้

  1. การเปิดขายภาพศิลปะดิจิตอล: ผู้ใช้งาน Artisto สามารถสร้างภาพศิลปะดิจิตอลจากวิดีโอหรือภาพนิ่งของตนเองและจำหน่ายในราคาที่ตนเองกำหนดได้
  2. การให้บริการสร้างภาพศิลปะดิจิตอลให้กับลูกค้า: บริการสร้างภาพศิลปะดิจิตอลที่มีคุณภาพสูงสามารถขายให้กับลูกค้าได้ โดยเฉพาะลูกค้าที่ต้องการภาพศิลปะดิจิตอลที่เป็นเอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร
  3. การสร้างภาพโฆษณา: นอกจากนี้ การใช้ Artisto ในการสร้างภาพโฆษณาให้กับลูกค้าโดยเฉพาะอาจเป็นวิธีการสร้างรายได้ที่น่าสนใจ เพราะภาพโฆษณาที่สร้างขึ้นด้วย Artisto จะมีลักษณะการใช้งานและดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์และน่าสนใจ เหมาะสำหรับการใช้ในการโปรโมทสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้า
  4. การใช้งาน Artisto เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับภาพและวิดีโอ: ผู้ใช้งาน Artisto สามารถนำภาพและวิดีโอที่ได้จาก Artisto มาใช้ในการสร้างเนื้อหาและโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อเพิ่มมูลค่าและความน่าสนใจให้กับเนื้อหา

แต่ทั้งหมดนี้ C-Skills.co ก็ได้สร้างแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ เพื่อให้ทุกคนมาเรียนรู้เสริมทักษะให้สามารถทำงานได้อย่างมืออาชีพ ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ ยกตัวอย่างคอร์สเรียน

1. คอร์สตัดต่อวิดีโอพื้นฐานด้วยโปรแกรม Adobe Premiere Pro ราคา 690 เท่านั้น!

เนื้อหา 7 บทเรียน ระยะเวลาเรียน 1 ชั่วโมง ซื้อครั้งเดียว ไม่มีวันหมดอายุ เรียนจบสามารถทำงานได้ทันที!

ติดตามคอนเทนต์ได้ที่ :

Facebook: bit.ly/3JYDPYm

Website : bit.ly/3JKNfFE

C-Skills.co แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ ที่จะยกระดับให้คุณทำงานได้อย่างมืออาชีพ

แจก 4 ซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอฟรี! ไม่เสียเงินสักบาท

แจก 4 ซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอฟรี! ไม่เสียเงินสักบาท

ทำไมปัจจุบันคนใช้เว็บไซต์เพื่อตัดต่อวิดีโอเยอะ จริงๆมีหลายเหตุผลมากๆ เช่น
  1. ความสะดวกสบาย: เว็บไซต์ตัดต่อวิดีโอที่เป็นออนไลน์มีความสะดวกสบายมากกว่าซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอที่ต้องติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะเราสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต
  2. ไม่ต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถสูง: เว็บไซต์ตัดต่อวิดีโอออนไลน์ไม่ต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสเปคสูง เพราะการทำงานจะเป็นบนเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์เอง ซึ่งทำให้คุณสามารถตัดต่อวิดีโอได้ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสเปคต่ำกว่าก็ได้
  3. สามารถทำงานร่วมกันได้: เว็บไซต์ตัดต่อวิดีโอที่ออนไลน์ยังสามารถแชร์การทำงานร่วมกันได้ ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ง่าย ๆ และสะดวกสบาย
  4. ไม่ต้องลงทุนในซอฟต์แวร์: เว็บไซต์ตัดต่อวิดีโอออนไลน์มักเป็นฟรี ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องลงทุนในซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอที่มีราคาสู

C-Skills News จะขอแนะนำ 5 เว็บไซต์ที่สามารถตัดต่อวิดีโอได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย

  1. WeVideo (https://www.wevideo.com/)

WeVideo เป็นเว็บตัดต่อวิดีโอออนไลน์ที่มีความสามารถในการใช้งานและความสามารถในการตัดต่อวิดีโอที่สูง โดยมีฟีเจอร์หลากหลายเช่นการเพิ่มเอฟเฟกต์, การเพิ่มซาวด์แทร็ก, การใส่ตัวอักษร, การตัดต่อแบบสัญญาณเสียงและวิดีโอที่มีความละเอียดสูง นอกจากนี้ยังสามารถเข้าถึง WeVideo ได้จากทุกที่ผ่านทางเบราว์เซอร์บนอินเทอร์เน็ต เพราะไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดและติดตั้งซอฟต์แวร์บนคอมพิวเตอร์ของคุณเพื่อใช้งาน นอกจากนี้ยังมีการจัดเก็บข้อมูลของวิดีโอไว้ในคลาวด์ ซึ่งทำให้คุณสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างง่ายดายและมีความสะดวกสบาย ทั้งนี้ WeVideo ยังมีระบบบริการแบบผ่อนผันที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกสมาชิกตามความต้องการได้ตามความเหมาะสมของตนเองเช่นเดียวกับมีการสนับสนุนตลอดเวลาจากทีมงาน WeVideo ดังนั้น WeVideo เป็นเว็บตัดต่อวิดีโอที่น่าสนใจและคุ้มค่าที่จะลองใช้งานกันดูนะคะ

การใช้งาน WeVideo มีดังนี้
  1. สมัครสมาชิก: ก่อนที่คุณจะใช้งาน WeVideo คุณต้องสมัครสมาชิกก่อน โดยไปที่เว็บไซต์ของ WeVideo แล้วกดปุ่ม “Sign Up” ที่มุมขวาบนของหน้าจอ
  2. เลือกแผนการใช้งาน: หลังจากที่คุณได้สมัครสมาชิกแล้ว คุณสามารถเลือกแผนการใช้งานตามต้องการ เพื่อเข้าถึงฟีเจอร์และคุณสมบัติที่ต้องการ
  3. อัพโหลดวิดีโอ: เมื่อคุณเข้าสู่ระบบ WeVideo คุณสามารถอัพโหลดวิดีโอของคุณได้โดยคลิกที่ปุ่ม “Create a new video” หรือ “Import Media” จากนั้นเลือกไฟล์วิดีโอที่ต้องการจากคอมพิวเตอร์ของคุณ หรือจากแหล่งอื่น เช่น Google Drive หรือ Dropbox
  4. เพิ่มเอฟเฟ็กต์และตัดต่อวิดีโอ: เมื่อได้วิดีโอของคุณแล้ว คุณสามารถเพิ่มเอฟเฟ็กต์ต่างๆ เช่น เพิ่มภาพนิ่ง เพิ่มเสียง หรือใส่ตัวอักษร

เมื่อได้ทำการตัดต่อวิดีโอเสร็จสิ้นแล้ว คุณสามารถบันทึกวิดีโอนั้นได้โดยคลิกที่ปุ่ม “Export” ที่มุมขวาบนของหน้าจอ จากนั้นเลือกตัวเลือกการส่งออกที่ต้องการ ได้แก่ เช่น บันทึกลงคอมพิวเตอร์ ส่งออกเป็นไฟล์ YouTube หรือแชร์ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์

นอกจากนี้ WeVideo ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ เช่น การใช้งานกล้องวิดีโอที่ออกแบบมาอย่างสวยงาม เพื่อช่วยให้คุณสามารถบันทึกวิดีโอได้ง่ายและรวดเร็ว รวมถึงการเข้าถึงตัวเลือกการตัดต่อวิดีโออื่นๆ ที่มีอยู่ในโปรแกรม เช่น การตัดต่อวิดีโอที่มีความเร็วและความชัดเจนสูง การใช้ภาพนิ่งในการสร้างภาพนิ่งที่น่าสนใจ และอื่นๆ อีกมากมาย

โดยรวมแล้ว WeVideo เป็นเว็บไซต์ที่มีความสามารถในการตัดต่อวิดีโอออนไลน์อย่างง่ายดาย และมีฟีเจอร์หลากหลายที่สามารถช่วยให้คุณสร้างวิดีโอที่น่าสนใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. OpenShot (https://www.openshot.org/)

OpenShot เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่เป็นฟรีและเปิดโค้ด มีความสามารถในการตัดต่อวิดีโอให้มีคุณภาพมากๆ โดยมีฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ช่วยให้การตัดต่อวิดีโอเป็นไปอย่างราบรื่นและง่ายดาย นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์สำหรับเพิ่มเติมเอฟเฟกต์ สี และเสียงในวิดีโอ

นี่คือบางฟังก์ชั่นหลักของ OpenShot:

    1. การตัดต่อวิดีโอพื้นฐาน: คุณสามารถตัดต่อวิดีโอเบื้องต้นได้ง่ายดาย เช่น ตัดต่อวิดีโอในตำแหน่งที่ต้องการ แยกตัวอย่างเพื่อเพิ่มหรือลบได้ตามต้องการ
    2. การเพิ่มเสียง: คุณสามารถเพิ่มเสียงต่าง ๆ เข้าไปในวิดีโอได้ และปรับแต่งเสียงเพื่อให้เข้ากับวิดีโอได้อย่างลงตัว
    3. การเพิ่มเอฟเฟกต์: OpenShot มีเอฟเฟกต์หลายแบบที่ให้เลือกใช้ เช่น สี ซูม หรือการหมุน
    4. การสร้างตัวอย่าง: คุณสามารถสร้างตัวอย่างเพื่อตรวจสอบการตัดต่อวิดีโอก่อนที่จะบันทึกได้
    5. การเลือกเบราว์เซอร์: คุณสามารถเลือกเบราว์เซอร์ที่ใช้กับ OpenShot เพื่อเปิดโปรแกรมเว็บไซต์อื่น ๆ ได้โดยตรง
    6. การเปลี่ยนแปลงขนาด: คุณสามารถปรับขนาดวิดีโอและภาพนิ่งได้โดยไม่ต้องเสียเวลาในการค้นหาโปรแกรมที่ใช้ง่าย
    7. การเชื่อมต่อเสียง: คุณสามารถเชื่อมต่อเสียงต่างๆ เข้ากับวิดีโอได้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูด หรือเพลง
    8. การสร้างสไลด์โชว์: คุณสามารถสร้างสไลด์โชว์เพื่อแสดงผลต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยเพียงแค่เลือกภาพนิ่ง และเพลงที่ต้องการ
    9. การสร้างวิดีโอคอมพิวเตอร์: คุณสามารถสร้างวิดีโอคอมพิวเตอร์สำหรับออกอากาศในโซเชียลมีเดียได้ โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการตัดต่อวิดีโอเทคนิค
    10. การเปิดไฟล์: OpenShot สามารถเปิดไฟล์วิดีโอและเสียงจากหลายแหล่งที่แตกต่างกันได้ เช่น MP4, AVI, MOV, WAV, MP3 ฯลฯ

โดยรวมแล้ว OpenShot เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่มีความสามารถรองรับการใช้งานแบบง่าย ด้วยความสามารถที่เยี่ยมยอด และเป็นโปรแกรมฟรีที่มีคุณภาพสูง

ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนการใช้งาน OpenShot เบื้องต้น:

  1. เปิดโปรแกรม OpenShot ขึ้นมา จะมีหน้าต่างเปล่าๆ อยู่
  2. นำวิดีโอที่ต้องการตัดและแก้ไขมาลากเข้าไปในหน้าต่าง OpenShot โดยใช้เมาส์ลากแล้ววางลงใน Timeline
  3. หลังจากนั้นจะเห็นว่าวิดีโอที่นำเข้ามาจะปรากฏอยู่ใน Timeline ด้านล่างของหน้าต่าง OpenShot
  4. ต่อไปนี้จะเป็นการใช้เครื่องมือต่างๆ ของ OpenShot เพื่อแก้ไขวิดีโอตามต้องการ
    • ตัดวิดีโอ: ใช้เครื่องมือ Razor Tool (ปุ่มมีรูปด้ามกรรไกร) เพื่อตัดวิดีโอ โดยกดปุ่มนี้แล้วคลิกที่ตำแหน่งที่ต้องการตัด จากนั้นใช้ปุ่ม Delete เพื่อลบส่วนที่ตัดออกไป
    • ปรับความเร็ววิดีโอ: ใช้เครื่องมือ Speed Control (ปุ่มมีรูปหมุด) เพื่อปรับความเร็วของวิดีโอ โดยสามารถเลือกเปลี่ยนค่าเป็นเปอร์เซ็นต์ได้
    • เพิ่มเอฟเฟกต์: ใช้เครื่องมือ Effect (ปุ่มมีรูปพลังงาน) เพื่อเพิ่มเอฟเฟกต์ต่างๆ ลงในวิดีโอ โดยให้ลากเอฟเฟกต์ลงไปใน Timeline และกดปุ่ม Play เพื่อดูผลลัพธ์
    • เพิ่มเสียง: ใช้เครื่องมือ Audio (ปุ่มมีรูปเสียง) เพื่อเพิ่มเสียงลงในวิดีโอ
    1. หลังจากแก้ไขวิดีโอเสร็จสิ้นแล้ว สามารถส่งออก (export) ไฟล์วิดีโอออกมาได้ โดยทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:
        • กดปุ่ม Export ที่ด้านบนของหน้าต่าง OpenShot
        • ในหน้าต่าง Export Video จะมีตัวเลือกให้เลือกตามต้องการ เช่น เลือกคุณภาพวิดีโอ รูปแบบไฟล์วิดีโอ และความละเอียด
        • เมื่อตั้งค่าตามต้องการเรียบร้อยแล้ว กดปุ่ม Export Video แล้วรอจนกระทั่งขึ้นหน้าต่าง Save As เพื่อกำหนดชื่อไฟล์และตำแหน่งที่จะบันทึกไฟล์
    2. หลังจากที่ไฟล์วิดีโอถูกส่งออกเรียบร้อยแล้ว สามารถนำไฟล์วิดีโอที่สร้างได้เลย

      นอกจากนี้ยังมีเครื่องมืออื่นๆ ให้ใช้งานใน OpenShot อย่างเช่น การเพิ่มภาพนิ่ง (image) เพิ่มข้อความลงไปในวิดีโอ และอื่นๆ ที่สามารถศึกษาได้จากเว็บไซต์ของ OpenShot โดยละเอียดตามต้องการ

3. Shotcut (https://shotcut.org/)

Shotcut เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอและทำงานกับไฟล์เสียงที่เป็นโอเพนซอร์ส (open source) และรองรับการทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows, Mac OS, และ Linux โดยทั่วไปผู้ใช้งานโปรแกรมนี้มักจะเป็นนักถ่ายวิดีโอสำหรับเว็บไซต์ YouTube, นักแสดงหนัง โปรดิวเซอร์, ผู้ที่มีความสนใจในการตัดต่อวิดีโอ เป็นต้น

ด้านความสามารถของโปรแกรม Shotcut จะมีดังนี้

  1. การตัดต่อวิดีโอ: โปรแกรม Shotcut สามารถตัดต่อวิดีโอแบบเบื้องต้นได้ง่ายดาย ซึ่งรองรับการตัดต่อวิดีโอทั้งหลายรูปแบบ เช่น การตัดต่อวิดีโอที่มีเสียงพร้อมกัน, การเล่นวิดีโอที่เร็วหรือช้ากว่าปกติ, การใส่เอฟเฟกต์ให้กับวิดีโอ, การเพิ่มลายเซ็นหรือโลโก้, การปรับแต่งสีและแสงของวิดีโอ และอื่นๆ
  2. การทำงานกับไฟล์เสียง: Shotcut ยังสามารถทำงานกับไฟล์เสียงได้อย่างมืออาชีพ เช่น การตัดไฟล์เสียง, การปรับระดับเสียง การใส่เอฟเฟกต์, การเพิ่มลายเซ็นหรือโลโก้, การเพิ่มเสียงพื้นหลัง (background music) และอื่นๆ
  3. การสร้างเอฟเฟกต์: Shotcut ยังมีฟังก์ชั่นสร้างเอฟเฟกต์ให้กับวิดีโอ ได้อย่างมืออาชีพ มีตัวเลือกเอฟเฟกต์ที่หลากหลาย เช่น เอฟเฟกต์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง, ภาพ, และเอฟเฟกต์ที่ใช้กับคลิปวิดีโอ และอื่นๆ
  4. รองรับรูปแบบไฟล์: Shotcut สามารถใช้งานได้กับไฟล์วิดีโอและไฟล์เสียงที่มีรูปแบบต่างๆ เช่น MP4, AVI, MOV, MKV, WAV, MP3, OGG และอื่นๆ
  5. ตัวคัดกรอง: โปรแกรม Shotcut มีตัวคัดกรอง (filter) ให้เลือกใช้งานอย่างมากมาย เช่น ตัวกรองสี, ตัวกรองเสียง, ตัวกรองไฟล์, และอื่นๆ
  6. การสร้างภาพนิ่ง (Still Image): Shotcut ยังสามารถใช้งานสร้างภาพนิ่งได้อย่างง่ายดาย ในกรณีที่ไม่ต้องการทำงานกับวิดีโอ
  7. การสร้างซับไตเติ้ล: Shotcut สามารถสร้างซับไตเติ้ล (Subtitle) ได้อย่างง่ายดาย ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มคำบรรยายได้ในวิดีโอ
  8. การแสดงผลสด (Live Preview): Shotcut สามารถแสดงผลสดของวิดีโอที่กำลังทำงาน หรือสามารถแสดงผลการแก้ไขที่ทำในระหว่างการทำงานกับวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว
  9. สามารถนำไปใช้งานบนระบบปฏิบัติการต่างๆ: Shotcut สามารถใช้งานได้บนระบบปฏิบัติการ Windows, Mac และ Linux ทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการต่างๆ ได้อย่างสะดวก
  10. การทำงานร่วมกับคอมมูนิตี้: Shotcut ยังสามารถทำงานร่วมกับคอมมูนิตี้ (community) โดยมีโปรแกรมที่สามารถใช้งานและติดตั้งได้ฟรี เช่น โปรแกรมเสริมเอฟเฟกต์, และรูปแบบต่างๆ ที่สามารถใช้กับ Shotcut ได้
  11. ความเป็นมืออาชีพ: โปรแกรม Shotcut มีความเป็นมืออาชีพ ซึ่งสามารถใช้งานได้ง่าย และมีความสามารถในการปรับแต่งวิดีโอให้ดูมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยไม่ต้องใช้งบประมาณสูง
  12. โอเพนซอร์ส: Shotcut เป็นโปรแกรมที่เปิดเผยตัวอย่างได้อย่างเต็มที่ ด้วยการเป็นโปรแกรมโอเพนซอร์ส (Open Source) ทำให้ผู้ใช้งานสามารถแก้ไขและปรับแต่งโปรแกรมได้อย่างอิสระ

ในสรุป โปรแกรม Shotcut เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอและเสียงที่มีความสามารถมากมาย มีการตัดต่อแบบละเอียด สามารถสร้างเอฟเฟกต์ได้อย่างมืออาชีพ

Shotcut เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรีที่มีความสามารถในการตัดต่อวิดีโอและเสียงต่าง ๆ และรองรับการตัดต่อวิดีโอในความละเอียดสูงได้ถึง 4K ด้วย

ต่อไปนี้คือขั้นตอนการใช้งาน Shotcut:
  1. ดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรม Shotcut จากเว็บไซต์ https://shotcut.org/ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ
  2. เปิดโปรแกรม Shotcut และเลือก “New project” เพื่อสร้างโปรเจคใหม่
  3. เลือก “Open File” เพื่อนำวิดีโอที่ต้องการตัดต่อเข้ามาในโปรแกรม Shotcut หรือสามารถลากและวางไฟล์วิดีโอได้ในหน้าต่าง “Playlist”
  4. หลังจากนั้นให้ลากและวางวิดีโอที่ต้องการตัดต่อลงใน “Timeline” โดยใช้เมาส์เพื่อปรับตำแหน่งให้ตรงตามต้องการ
  5. คลิกที่วิดีโอใน “Timeline” เพื่อเปิดหน้าต่าง “Properties” และเลือกค่าต่าง ๆ เช่น ความยาววิดีโอ สัดส่วนภาพ และปรับแสงสีตามต้องการ
  6. เพิ่มเอฟเฟกต์ให้กับวิดีโอโดยคลิกที่เมนู “Filters” และเลือกเอฟเฟกต์ที่ต้องการ เช่น การปรับขนาด การปรับแสง การเพิ่มเอฟเฟกต์เสียง หรือการเพิ่มภาพนิ่ง (still image)
  7. ตัดต่อเสียงโดยการนำไฟล์เสียงเข้ามาในโปรแกรม Shotcut และลากวางลงใน “Timeline”
  8. Export วิดีโอ

หลังจากที่ได้ทำการตัดต่อวิดีโอเสร็จแล้ว ต่อไปเราต้องการส่งออกไฟล์วิดีโอที่ตัดต่อไปนั้น ใน Shotcut เราสามารถทำได้โดยเลือกเมนู “Export” จากนั้นกด “Export File” เพื่อเริ่มกระบวนการส่งออก

ในหน้าต่าง “Export File” นี้เราสามารถกำหนดคุณภาพวิดีโอและรูปแบบไฟล์ที่ต้องการส่งออกได้ โดยสามารถเลือกจาก preset ต่าง ๆ หรือกำหนดเองได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดความละเอียดวิดีโอ ความเร็วเฟรม เป็นต้นได้

หลังจากกำหนดตัวเลือกต่าง ๆ ให้เรียบร้อยแล้ว กดปุ่ม “Export File” เพื่อเริ่มกระบวนการส่งออกวิดีโอ ระหว่างกระบวนการนี้จะมีแถบเป็นเวลาแสดงความคืบหน้าของการส่งออก

เมื่อกระบวนการส่งออกเสร็จสิ้นแล้ว ไฟล์วิดีโอที่ส่งออกจะถูกบันทึกไว้ในที่ที่กำหนด โดยปกติแล้วจะอยู่ในรูปแบบ .mp4 หรือ .mov ขึ้นอยู่กับค่าที่กำหนดไว้ในตอนส่งออก สามารถนำไฟล์นี้ไปใช้งานต่อได้เลย

4. VSDC Free Video Editor (http://www.videosoftdev.com/free-video-editor/)

VSDC Free Video Editor เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่มีความสามารถที่ค่อนข้างครบวงจร โดยมีฟังก์ชั่นหลายอย่างที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำการตัดต่อวิดีโอได้อย่างมืออาชีพ นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือต่าง ๆ เช่น การจัดการซูม การปรับแต่งสี การเพิ่มเอฟเฟกต์ การเพิ่มเสียงพื้นหลัง และอื่น ๆ

ขั้นตอนการใช้งาน VSDC Free Video Editor มีดังนี้
  1. ดาวน์โหลดและติดตั้ง VSDC Free Video Editor สามารถดาวน์โหลดได้จาก http://www.videosoftdev.com/free-video-editor/
  2. เปิดโปรแกรม VSDC Free Video Editor และสร้างโปรเจ็กต์ใหม่ คลิกที่ “New Project” บนหน้าจอหลัก เลือกขนาดของโปรเจ็กต์และคลิก “Create”
  3. เพิ่มไฟล์วิดีโอ คลิกที่ “Import Content” บนแถบเมนูด้านบนของโปรแกรม แล้วเลือกไฟล์วิดีโอที่ต้องการเพิ่ม
  4. ตัดต่อวิดีโอ ลากไฟล์วิดีโอลงในแถบไทม์ไลน์ (Timeline) แล้วใช้เครื่องมือตัดต่อเพื่อปรับแต่งวิดีโอ อาทิเช่น ตัด, แบ่ง, ปรับขนาด, เปลี่ยนโครงสร้าง, เปลี่ยนสี และอื่น ๆ
  5. เพิ่มเอฟเฟกต์และตัวอักษร ในการเพิ่มเอฟเฟกต์และตัวอักษร ให้คลิกที่ “Video Effects” และ “Text” บนแถบเมนูด้านบนของโปรแกรม จากนั้นเลือกเอฟเฟกต์หรือตัวอักษรที่ต้องการแล้วลากลงในไทม์ไลน์
  6. เพิ่มเสียง สามารถเพิ่มไฟล์เสียงได้โดยการคลิกที่ “Import Content” บนแถบเมนูด้านบน และเลือกไฟล์เสียงที่ต้องการ เมื่อได้เสียงมาแล้ว ลากไฟล์เสียงลงในแถบไทม์ไลน์
  7. บันทึกโปรเจ็กต์

การบันทึกโปรเจ็กต์ VSDC Free Video Editor สามารถทำได้ดังนี้:

  1. เมื่อเสร็จสิ้นการตัดต่อวิดีโอของคุณในโปรแกรม VSDC Free Video Editor ให้คลิกที่ปุ่ม “Export project” ที่มุมขวาล่างของหน้าจอ.
  2. เลือกรูปแบบการบันทึกวิดีโอของคุณ เช่น MP4, AVI, WMV หรือ MPEG, และระบุตำแหน่งที่คุณต้องการบันทึกไฟล์.
  3. กำหนดการตั้งค่าและการบีบอัดไฟล์ของคุณ ซึ่งรวมถึงอัตราส่วนภาพ, ความละเอียด, และอัตราส่วนเสียง.
  4. คลิกที่ปุ่ม “Export” เพื่อเริ่มต้นกระบวนการบันทึก.

หลังจากที่โปรแกรม VSDC Free Video Editor ทำการบันทึกโปรเจ็กต์ของคุณเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถเปิดไฟล์วิดีโอที่คุณบันทึกไว้ในโปรแกรมอื่น ๆ เพื่อดูผลลัพธ์ของงานที่คุณสร้างได้.

8.การ Export

  1. คลิกที่ปุ่ม Export ที่มุมขวาล่างของหน้าต่างโปรแกรม
  2. เลือกเส้นทางการบันทึกไฟล์ โดยคลิกที่ปุ่ม Browse เพื่อเลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการบันทึกไฟล์
  3. ตั้งชื่อไฟล์ที่ต้องการบันทึก โดยคลิกที่ช่อง Output File แล้วพิมพ์ชื่อไฟล์ที่ต้องการ
  4. เลือกรูปแบบไฟล์วิดีโอ โดยคลิกที่แท็บ Format แล้วเลือกรูปแบบไฟล์ที่ต้องการ
  5. กำหนดคุณภาพวิดีโอ โดยคลิกที่แท็บ Video แล้วเลือกคุณภาพวิดีโอที่ต้องการ
  6. กำหนดตัวเลือกการบันทึกวิดีโอ โดยคลิกที่แท็บ Export แล้วเลือกตัวเลือกที่ต้องการ เช่น การบันทึกวิดีโอแบบรวมเสียงหรือไม่รวมเสียง
  7. คลิกที่ปุ่ม Export File เพื่อเริ่มการบันทึกวิดีโอที่ตัดต่อแล้ว
  8. รอให้เสร็จสิ้นการบันทึกวิดีโอ แล้วจะสามารถเปิดไฟล์วิดีโอที่เราบันทึกไว้ได้

ถ้าใครสนใจอยากเรียนรู้เกี่ยวกับการตัดต่อวิดีโอ C-Skills.co มีคอร์สตัดต่อวิดีโอเบื้องต้นด้วยโปรแกรม Adobe Premiere Pro มาแนะนำ เนื้อหา 7 บทเรียน ระยะเวลาเรียน 1 ชั่วโมง ซื้อครั้งเดียว ไม่มีวันหมดอายุ!  ตัดต่อวิดีโอ  << คลิก!

แกะบทเรียนตัดต่อวิดีโอยอดวิวหลักล้านด้วย Adobe Premiere Pro

แกะบทเรียนตัดต่อวิดีโอยอดวิวหลักล้านด้วย Adobe Premiere Pro

แกะบทเรียนตัดต่อวิดีโอยอดวิวหลักล้านด้วย Adobe Premiere Pro

วันนี้ C-Skills News ขอแนะนำ Editor สรวิชญ์ บุญมาก ประสบการณ์ตัดต่อวิดีโอมามากกว่า 10 ปี ผลงาน yimnoi yimyai , BO YOSHI CHANNEL , Mr. Oz , hwan jeab channel , chuchat crazy car , สําราญ ดิงจา , อากู๋คอกซิ่ง และเป็นฟรีแลนซ์ให้กับ boriboon family  และมีคอร์สตัดต่อวิดีโอเบื้องต้นด้วยโปรแกรม Adobe Premiere Pro << สนใจคลิก!

 1.วิธีหาสไตล์การตัดต่อของตัวเองให้โดดเด่น

โดยส่วนตัว Editor ก็ตัดต่อคลิปธรรมดาๆ ไม่มีการขยี้มุกอะไร ตัดต่อได้ แต่ไม่ได้ตัดเป็น ก็เลยตัดสินใจนั่งดูช่อง Youtube ทุกช่อง หาสไตล์ของตัวเองให้เจอ

แต่จะรู้ได้ยังไงว่าเราเจอสไตล์ตัวเอง ?

อันดับแรกผมจะลองตัดต่อจริง ดูว่าคลิปออกมา สมูท มากแค่ไหน ลองเอาให้เพื่อนๆดู  ถ้ามันออกมาดี ถือว่าเราค้นหาสไตล์ตัวเองเจอ

ทำยังไงก็ได้ให้คนไม่รู้จักเรา รู้ว่าเราตัด ทีมเราตัด

ยกตัวอย่างคลิปของ เสือร้องไห้

เห็นไหมครับดูคลิปนี้แล้วเรารู้เลย ต้องทีม เสือร้องไห้แน่ๆที่ตัด (ตัวละครก็มีผลด้วยนะครับ)

2.ท่อนฮุกของคลิปต้องดึงดูดคน

C-Skills News ขอยกตัวอย่างคลิปนี้ ลำโพงมรณะ ใครเผลอโดนป่วนคนทั้งบ้าน!!! ฮาน้ำตาไหล555+ 

เป็นคลิปแกล้งคนในบ้านด้วยลำโพง โดยจะเอาท่อนที่โดนแกล้งทุกท่อนมายำรวมกันให้เข้าใจภายใน 30 วิ ให้คนรู้ไปเลยว่าจะเจออะไร ช่วงเริ่มต้นคลิปเป็นช่วงสำคัญที่สุดถ้าไม่ตื่นเต้นคนจะไม่ดูเลย

3.วิธีการ Cuting ให้ออกมาดีคลิปไม่กระโดด 

เราต้องรู้ก่อนว่า Deadair คืออะไร

Deadair หมายถึงส่วนที่ไม่มีเสียงหรือไม่มีเหตุการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้นในคลิป ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ชมรู้สึกเบื่อหน่ายและไม่ติดตามเนื้อหาได้ดีพอจะทำให้เสียโอกาสในการดึงดูดคน ดังนั้นการตัด deadair ให้ออกมาสมูทจึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการตัดต่อวิดีโอ

ยกตัวอย่าง   “เอิ่ม อืม อา  (เป็นคนที่นึกฟังแล้วรู้สึกเบื่อ) หรือ คำซ้ำ คำพูดผิด” เราต้องตัดต่อออกให้หมด

โดยส่วนตัวผมแล้วจะไม่ตัดให้มันกระชากบ่อยหนัก จะตัดให้เป็นประโยคซะมากกว่า  หรือถ้ามันจะเป็น เราอยากจะซูม close-up ให้ไปในคลิปให้มันดูแตกต่าง แต่! ห้ามทำบ่อยนะครับ

4.การใช้เพลงให้ถูกวิธี

เพลงต้องอ้างอิงจากตัวคลิปด้วย คลิปนี้จะเป็นแนวแกล้ง ดังนั้นผมจะใช้เพลงที่ดูวัยรุ่น เช่น Funky , Retro , Remix , Sneaky

ถ้าคลิปแบบหลอกแกล้งควรใช้เพลงอะไร ? แนวเพลงที่ควรใช้คือ Sneaky , Spy ในคอร์สเรียนมีแจกด้วยนะครับ คอร์สตัดต่อวิดีโอพื้นฐานด้วยโปรแกรม Adobe Premiere Pro

เพลงตอนแกล้งเสร็จควรใช้เพลงอะไร ? แนวเพลงที่ควรใช้คือ Funky , Retro ถ้าเพลงมันยังไม่สนุก ผมจะ Speed เพลงเพิ่มขึ้น

  1. การขยี้มุกให้ดูไม่อึดอัด

เทคนิคนี้เป็นเทคนิค แอดวานซ์ มากๆ จริงแล้วเราไม่ควรขยี้เยอะเกินไป ยิ่งคลิปสนุกอยู่แล้ว ไม่ต้องขยี้มุกคลิปก็สนุกได้

การขยี้มุกจะมีหลายวิธีมากแล้วแต่คนเลือกใช้ แต่ไม่ควรใช้ควบคู่กันเช่น  ขยี้เพลง + มีม ( แบบนี้จะทำให้คนหยุดดูทันที )

การขยี้มุกที่ดีคือหาจังหวะเข้าให้เป็น เช่น คลิปนี้ พี่ยิ้มโดนแกล้ง (อาการของคลิปดูโมโห) ดังนั้นผมจะใส่เพลง ทนได้ทุกที ให้มันเข้ากับเนื้อหา

  1. คลิปไม่ควรยาวเกินไป

ปัจจุบันที่มีแพลตฟอร์มให้เล่นเยอะมาก อย่างเช่น Tiktok คลิปไม่เกิน 1 นาที แต่สำหรับ Youtube แล้ว จะต้องเริ่ม 8 นาที – 15 นาที จะดีที่สุดสำหรับเริ่มต้น

ทำไมต้อง 8 นาทีขึ้นไป?

ถ้าเราอยากจะกำหนดโฆษณา แพลตฟอร์ม Youtube จะบังคับให้คลิปต้องยาวเกิน 8 นาทีขึ้นไป

สรุป

การตัดต่อวิดีโอจริงๆแล้วมันไม่มีถูกผิด แต่สิ่งที่มันยากคือจะทำยังไงให้คนดูคลิปให้จบ เราควรที่จะต้องมีสไตล์ให้แตกต่าง สามารถดูได้จากช่อง Youtube หยิบเอามาปรับใช้พัฒนา (จะต้องใช้เวลาในระดับนึงเลย) ท่อนฮุกคลิปต้องออกมาตื่นเต้น ถ้าทำส่วนนี้ไม่ดีคนจะกดออกทันที

การ Cutting ให้ออกมาดีเราควรที่จะตัดต่อให้เป็นประโยค ให้ดูไม่อึดอัด ส่วนการขยี้มุกเราต้องห้ามยัดมุกเข้าไปเยอะ ต้องหาจังหวะให้ดีแล้วคลิปจะออกมาดี ส่วนการใส่เพลง เราควรเลือกเพลงให้ถูก เปลียนเพลงให้บ่อยจะทำให้คลิปสนุกมากยิ่งขึ้น

และไม่ควรทำคลิปให้ยาวเกินไป ถ้าเป็นคนไม่มีชื่อเสียจะทำให้คนไม่ดูถึงจบคลิป

ทั้งหมดนี้ถ้าใครสนใจเรียนตัดต่อวิดีโอ C-Skills.co มีคอร์สตัดต่อวิดีโอพื้นฐานด้วยโปรแกรม Adobe Premiere Pro มาแนะนำ เนื้อหา 7 บทเรียน ระยะเวลาเรียน 1 ชั่วโมง เรียนที่ไหนก็ได้ ซื้อครั้งเดียว เรียนได้ตลอดชีวิต!