by drsuthichai | Nov 4, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
ถ้าอยากเป็นเศรษฐีมิควรเป็นลูกจ้าง
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
จากคำกล่าวที่ว่า “ ถ้าอยากเป็นเศรษฐีมิควรเป็นลูกจ้าง” เป็นคำกล่าวของชาวจีนในอดีตที่ได้สอนลูกหลาน มิได้มีเจตนาที่จะดูถูกคนที่เป็นลูกจ้างแต่อย่างใด แต่เป็นคำพูดที่มีความเป็นจริงมากทีเดียว เนื่องจากการเป็นลูกจ้างเราจะได้รับเงินเดือนประจำที่มีวงเงินที่จำกัดในแต่ละเดือน เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว ก็เป็นเงินออม ซึ่งเงินออมดังกล่าวถ้าหากว่าเราต้องการให้เพิ่มเป็นเงินออมก้อนใหญ่ก็คงต้องใช้เวลานานหลายปี
แต่ตรงกันข้ามกับคนที่ทำธุรกิจการค้าหรือเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งสามารถสร้างเงินหรือความมั่งคั่งร่ำรวยได้อย่างรวดเร็วกว่า อีกทั้งยังไม่มีวงเงินที่จำกัดในแต่ละเดือน เป็นนายของตัวเอง มีความเป็นอิสระ เสรี
สำหรับการเริ่มต้นทำธุรกิจมักมีคำถามมากมายที่มีคนตั้งคำถาม เช่น
1.หากว่าเราจะเริ่มต้นทำธุรกิจเราควรจะเริ่มต้นอย่างไร ? ตามความคิดเห็นของกระผม “ ธุรกิจใหญ่เกิดจากธุรกิจเล็ก ” ดังนั้น เราควรเริ่มต้นทำธุรกิจเล็กๆไปก่อนแล้วจึงค่อยขยายตัวให้ใหญ่ยิ่งขึ้น เราไม่ควรลงทุนทำธุรกิจครั้งแรกด้วยเงินลงทุนที่มากจนเกินตัวหรือลงทุนทำธุรกิจให้ใหญ่จนเกินตัว เพราะแทนที่จะประสบความสำเร็จอาจทำให้ล้มเหลวได้ เพราะกระผมเชื่อเรื่องของวิวัฒนาการ กล่าวคือ ธรรมชาติมักก่อกำเนิดสิ่งต่างๆโดยเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆแล้วค่อยเจริญเติบโตขึ้นเป็นลำดับ เช่น การปลูกต้นไม้ , การเลี้ยงสัตว์ หรือแม้กระทั่งการเจริญเติบโตของมนุษย์ ก็จะต้องมีวัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่และวัยชรา จงเริ่มต้นจากการทำธุรกิจเล็กๆแล้วขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น ธุรกิจของท่านก็จะมีการเจริญเติบโตที่ยั่งยืน
2.เราควรเริ่มต้นทำธุรกิจอะไรดี ? ตามความคิดของกระผม เราควรเริ่มต้นทำธุรกิจที่เรามีความรัก ความชอบ ในธุรกิจนั้น ตัวอย่าง หลายๆคนชอบทำอาหาร ท่านก็สามารถพัฒนาฝีมือการทำอาหาร ศึกษาระบบต่างๆเกี่ยวกับการบริหารงานร้านอาหาร จนสามารถเปิดร้านอาหารได้ , หลายๆคนชอบอ่านหนังสือ ท่านก็สามารถเปิดร้านขายหนังสือหรือร้านเช่าหนังสือหรือเขียนหนังสือขายได้ , หลายๆคนชอบรถยนต์หรือรถแข่ง ท่านสามารถเปิดอู่ซ่อมรถได้ , หลายๆคนชอบจัดสวนตกแต่งสวน ท่านสามารถเปิดบริการจัดตกแต่งสวนได้ ฯลฯ
3.เราจะมีวิธีการใดที่ช่วยลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจได้ ? สำหรับวิธีลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจที่ดี กระผมขอเสนอว่า หากว่าท่านมีทุนน้อย ท่านควรไปเป็นลูกจ้างของกิจการที่ท่านสนใจจะทำก่อน เช่น หากว่าท่านต้องการเปิดร้านอาหารแต่ท่านไม่มีเงินลงทุน ท่านควรไปสมัครเป็นลูกจ้างของร้านอาหารในประเภทที่ท่านต้องการเปิดก่อน ทั้งนี้ท่านสามารถเรียนรู้ระบบงาน อีกทั้งยังได้เงินเดือน เพื่อนำไปสะสมเป็นเงินลงทุนในการเปิดร้านอาหารอีกด้วย หรือ หากว่าท่านต้องการเปิดร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ แต่ท่านมีเงินทุนจำกัด ท่านควรไปสมัครเป็นลูกจ้างร้านซ่อมจักรยานยนต์เพื่อเรียนรู้งาน เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ในการซ่อมรถจักรยานยนต์ เมื่อท่านมีประสบการณ์และเงินทุนพอ ท่านก็สามารถเปิดร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ได้ในอนาคต ฯลฯ
4.การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันมีเครื่องมือใดช่วยเหลือบ้าง? มีครับ มีมากเสียด้วย ในความคิดเห็นของกระผมการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน ทำได้ง่ายกว่าในอดีต อีกทั้งยังใช้เงินลงทุนที่น้อยลง แหล่งเงินทุนหรือแหล่งเงินกู้ต่างๆก็มีมาก เทคโนโลยีต่างๆ ก็ทันสมัยขึ้น เช่น ในอดีตโอกาสที่เราจะทำธุรกิจประเภท วิทยุหรือโทรทัศน์ นั้นมีน้อยมาก แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เราสามารถเปิดสถานีวิทยุชุมชนหรือวิทยุดาวเทียม ด้วยต้นทุนที่น้อยกว่าในอดีต
ดังนั้น หากว่าท่านต้องการเป็นเศรษฐี ท่านควรเริ่มต้นทำธุรกิจ จากธุรกิจเล็กแล้วจึงขยายไปใหญ่ , ควรเริ่มต้นทำธุรกิจที่ท่านชอบหรือรัก , หากไม่มีทุนท่านควรไปเป็นลูกจ้างเขาก่อนเพื่อหาประสบการณ์และสะสมเงินทุน และท่านควรหาเครื่องมือช่วยเพื่อทำให้ธุรกิจของท่านสามารถดำเนินไปด้วยความสะดวกขึ้น
สำหรับ ท่านที่เป็นลูกจ้าง กระผมยังไม่แนะนำให้ลาออกจากงาน ท่านควรทำธุรกิจเพื่อเป็นงานอดิเรกหรือเพื่อเสริมรายได้หลักก่อน ถ้าหากว่าท่านทำแล้วมีรายได้มากพอ ท่านก็สามารถลาออกจากการเป็นลูกจ้างเพื่อมาทำธุรกิจของตนเองได้อย่างเต็มตัว

#image_title
by drsuthichai | Nov 4, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
Change Management
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
มนุษย์หรือองค์กรต่างๆ มักกลัวการเปลี่ยนแปลง แต่มนุษย์และองค์กรต่างๆ จะเจริญก้าวหน้าก็ด้วยเพราะการเปลี่ยนแปลง
Change Management หรือ การบริหารการเปลี่ยนแปลง มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการทำงานยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการทำงานในภาครัฐ หรือ ภาคเอกชน เพราะโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน
Kodak เป็นตัวอย่างที่ดีในการวัดความสามารถในการบริหารการเปลี่ยนแปลง เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้บริหารระดับสูงอาจทำให้บริษัท องค์กร พ่ายแพ้คู่แข่งขัน หรือ บางครั้งอาจถึงกับต้องออกจากสนามการแข่งขันไปเลยก็มี
Kodak ในอดีตคือผู้นำอันดับหนึ่งในวงการการถ่ายภาพ จนกระทั่งถูกท้าทายการเป็นผู้นำจากฟูจิ และได้ศูนย์เสียความเป็นผู้นำ อีกทั้งถูกแบ่งส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างมหาศาล ต่อมา กล้องมีการเปลี่ยนเป็นระบบถ่ายภาพแบบ Digital มากขึ้น แล้ว Kodak จะทำอย่างไรครับ ท่านผู้อ่าน
Kodak มีการบริหารการเปลี่ยนแปลงช้ามาก จนทำให้หุ้น Kodak ตกไปยังมาก อีกทั้งยังต้องขาดทุน Kodak แก้ปัญหาอย่างไร Kodak แก้ปัญหาโดยการปลดพนักงานออกเกือบ 20,000 คน
ต่อมาการเจริญเติบโตของกล้องระบบ Digital มีการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้ฟิลม์ธรรมดาของ Kodak มียอดขายลดลง Kodak แก้ปัญหาอย่างไรครับ Kodak แก้ปัญหาด้วยการลดราคาฟิลม์ลงอีก 60-70 % ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ยอดขายฟิลม์ธรรมดาตกเป็นอันมาก CEO ของ Kodak รับผิดชอบด้วยการลาออก (George Fisher)
จะเห็นได้ว่า Kodak มีการปรับตัวช้ามาก เมื่อเปรียบเทียบกับการแข่งขันในตลาดขณะนั้น ผู้บริหารมีการตัดสินใจที่ช้าและผิดพลาดต่อการเปลี่ยนแปลง แทนที่จะเล็งเห็นว่ากล้อง Digital มีแนวโน้มและเจริญเติบโตเร็ว กลับไม่ยอมพัฒนา กลับไปให้ความสำคัญกับสินค้าเดิมๆ คือ ฟิลม์ธรรมดา จนในที่สุด Kodak ต่อพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งขันในที่สุด
Apple นำโดย Steve Jobs เป็น CEO เป็นตัวอย่างที่ดีของการบริหารการเปลี่ยนแปลง Steve Jobs ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์โดยการออกนวัตกรรมใหม่ๆ เสมอ หรือที่เราได้รู้จักและสัมผัสคือ สินค้าตระกูล I (iPod ,iPhone ,iPad )
สำหรับ Steve Jobs เคยให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวครั้งหนึ่งว่า เขาไม่ให้ความสำคัญต่อการวิจัยตลาด เพราะลูกค้าไม่รู้หรอกว่าเขาต้องการอะไร อีกทั้งเขายังยกตัวอย่างเรื่องราวของ Henry Ford ผู้สร้างรถยนต์คันแรกของโลก ว่าหาก Henry Ford ไปทำวิจัยตลาดว่าลูกค้าชอบพาหนะอย่างไร ลูกค้าก็คงตอบว่า ชอบพาหนะที่แข็งแรง ทนทาน และนำพาไปยังสถานที่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว Henry Ford ก็คงต้องสร้าง รถม้าที่แข็งแรง ทนทาน เพื่อให้ม้าได้วิ่งได้เร็วขึ้นเพราะสมัยนั้นมีแต่การใช้ม้า ช้าง วัว ควาย เพื่อใช้บรรทุกของและนำพามนุษย์เราไปยังสถานทีต่างๆ แต่ Henry Ford ไม่ได้ทำการวิจัยตลาด จึงได้สร้างรถยนต์คันแรกของโลกขึ้น
Steve Jobs จึงเป็นบุคคลหนึ่งที่มีความกล้าที่จะเสี่ยง และจัดทีมงานให้บริษัท Apple สร้างสินค้าใหม่ๆ ขึ้นมาแทนที่จะรอคอยการเปลี่ยนแปลง แต่ Steve Jobs นำพาบริษัท Apple เปลี่ยนแปลงก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นเสียอีก
ดังเราจะเห็นได้ว่า Sony Walkman เป็นผู้นำตลาด แต่ตอนนี้ Sony Walkman เงียบหายไปไหน แต่ iPod กลับเป็นผู้นำตลาด
ดังนั้น การบริหารการเปลี่ยนแปลง หรือ Change Management จึงมีความสำคัญมากต่อองค์กร หน่วยงาน บริษัท รวมทั้งตัวของบุคคล
จงเปลี่ยนแปลง องค์กร หน่วยงาน บริษัท และตัวท่าน ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะมาถึง

#image_title
by drsuthichai | Nov 4, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
ความอดทนพากเพียรคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
หนทางที่จะนำพาบุคคลไปสู่ความสำเร็จ มีกุญแจอยู่หลายดอก แต่มีกุญแจดอกหนึ่งซึ่งมีความสำคัญ บุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จไม่ว่าอาชีพใด จะต้องมีกุญแจดอกนี้ กุญแจดอกนี้ก็คือ ความอดทนพากเพียร
บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักมีความอดทนพากเพียรอยู่ในหัวใจ อยู่ในจิตวิญญาณ ดังตัวอย่างเช่น
– โทมัส อัลวา เอดิสัน เคยมีคนไปถามว่า อัจฉริยะเกิดจากอะไร เขาตอบกลับไปโดยไม่คิดว่า “ อัจฉริยะเกิดจากแรงบันดาลใจเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ อีก 99 เปอร์เซ็นต์ เกิดจากความอดทนพากเพียร ทำไม่หยุด”
– ยอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ นักประพันธ์บทละครที่มีชื่อเสียงชาวไอริส กล่าวไว้ว่า “ เมื่อตอนหนุ่มๆ เขาสังเกตว่า 9 ใน 10 ของสิ่งที่ผมทำไปนั้นเรียกได้ว่าล้มเหลว แต่ผมไม่ยอมแพ้ ฉะนั้นผมจึงได้อดทนพากเพียรขึ้นไปอีก 10 เท่า
– ซิเซโร กว่าจะเป็นนักพูดที่ยิ่งใหญ่ของกรุงโรม เขาต้องอดทนพากเพียรโดยการพูดต่อหน้าเพื่อนๆหรือพูดตามชายหาดทะเล ทุกวันเป็นเวลาถึง 30 ปี กว่าที่จะมีคนยอมรับว่าเขาเป็นนักพูดที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก
– เซอร์ ไอแซค นิวตัน กว่าจะค้นพบกฎของแรงโน้มถ่วงของโลก เขาต้องอดทนพากเพียรทำงาน เขาไม่เคยนอนก่อนตีสองเลย ในการทำงานของเขาเพื่อที่จะค้นพบกฎที่ยิ่งใหญ่เพื่อมอบให้แก่มนุษยชาติ
ความอดทนพากเพียร มักขื่นขม แต่ผลของมันมักหวานชื่นเสมอ คนที่มีความอดทนพากเพียรมักเป็นคนที่มีความขยันขันแข็ง ไม่เกียจคร้าน ซึ่งการปลูกฝังความขยันขันแข็งเราสามารถปลูกฝังได้ดังต่อไปนี้
1.ฝืนใจทำงานในระยะแรก งานบางอย่างเป็นสิ่งใหม่และยาก จนบางคนไม่อยากที่จะลงมือทำ แต่คนที่ขยันขันแข็ง เขามักที่จะควบคุมตนเองและฝืนใจที่จะทำงานนั้น
2.ทำอย่างสม่ำเสมอ คนที่มีความขยันขันแข็งมักเป็นคนที่ทำอะไร สม่ำเสมอ เขาจะไม่ทำแล้วหยุด เขาจะทำงานด้วยความสม่ำเสมอ ดังคำว่าเปรียบเทียบว่า “ น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน ” ที่หินกร่อนไม่ใช่เพราะอนุภาพของหยดน้ำที่แรงหรือมีพลัง แต่ก็ด้วยความสม่ำเสมอของหยดน้ำต่างหาก
3.มีเป้าหมายในการทำงาน คนที่มีเป้าหมายในการทำงานมักจะทำงานด้วยความขยันขันแข็ง กระตือรือร้น ในการทำงาน ดังนั้น การตั้งเป้าหมายในการทำงานจึงมีความสำคัญ
4.รู้จักความสำคัญของเวลา คนที่มีความขยันมักเป็นคนที่รู้จักความสำคัญของเวลา เขามักจะบริหารเวลาเป็น อีกทั้งรู้จักที่จะจัดลำดับความสำคัญของงานที่ตนเองได้ทำลงไป
5.ปลูกความรักในงานที่ตนเองทำ คนที่ขยันมักที่จะมีความสนใจ ความรัก ความชอบในงานที่ตนเองทำ เขาถึงได้ทำงานนั้นด้วยความสนใจ อีกทั้งทุ่มเทในการทำงานนั้นๆ
6.ฝึกนิสัย ทำทันที(ททท.) สิ่งใดที่เราสามารถทำได้ ก็ให้ลงมือทำทันทีไม่ควรผัดวันประกันพรุ่ง
7.ฝึกความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง ในการทำงาน ไม่ควรทำงานด้วยความเฉื่อยชา แต่หากว่าเหน็ดเหนื่อยก็ให้หยุดพัก แล้วจึงเริ่มทำงานใหม่ การหยุดพักไม่ได้หมายถึงการหยุดพักก็ด้วยเพราะความขี้เกียจ
8.ฝึกหลักคำสอน อิทธิบาท 4 มาใช้ คือ ฉันทะ มีความรักในงานที่ตนเองทำ , วิริยะ มีความพากเพียรในการทำงาน , จิตตะ มีความเอาใจใส่ในงานที่ตนเองทำ และวิมังสา คือ มีความใคร่ครวญในงานที่ตนเองได้ทำลงไป
ดังนั้น หากท่านเป็นอีกผู้หนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จ ท่านควรฝึกความอดทน ฝึกความพากเพียร และฝึกความขยันขันแข็ง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นกุญแจที่จะนำพาท่านไปสู่ความสำเร็จ เพราะบุคคลที่ยิ่งใหญ่ บุคคลคนที่สำคัญของโลก ที่มีผลงานมากมายก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากหยาดเหงื่อแรงกาย แรงความคิดและแรงใจ ด้วยแท้

#image_title
by drsuthichai | Nov 4, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
กฎ 20/80 ของพาเรโท
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
กฎ 20/80 ถูกคิดค้นขึ้นโดย วิลเฟรโด พาเรโท ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาเลี่ยน เมื่อปี 1895 โดยขณะนั้นเขากำลังทำวิจัยเพื่อค้นคว้าหาสูตร การกระจายความมั่งคั่งในประเทศอิตาลี เขาค้นพบว่า บุคคลที่ได้ชื่อว่ามั่งคั่งมีจำนวนแค่ 20 % ของประชากร แต่มีทรัพย์สินเงินทองถึง 80 %
ต่อมา Dr Juran นักคิดทางด้าน Quality Management ได้นำหลักการนี้ไปใช้แล้วได้ผลเป็นอย่างดี จึงได้เรียกว่า “กฎ 80/20 ” หรือ กฎของพาเรโท อีกทั้งมีนักวิชาการจำนวนมากได้พิสูจน์ ทดลองแล้วยืนยันว่า กฎ 20/80 ของพาเรโท นั้นสามารถนำเอาไปใช้ได้ โดยมีการอธิบายเพิ่มเติมดังนี้
80 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้หรือยอดขายทั้งหมดของบางบริษัท เกิดจากสินค้าจำนวนแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขาย มาจากพนักงานขายแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ในทางกลับกัน
80 เปอร์เซ็นต์ ของพนักงานขาย สร้างยอดขายได้เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
80 เปอร์เซ็นต์ ของปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เกิดจากนักเรียนเพียงจำนวน 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของยอดการสั่งซื้อทั้งหมดนั้นมาจากลูกค้ารายใหญ่เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของเสื้อผ้าที่เรามีอยู่ เรามักไม่ได้สวมใส่ แต่ในทางกลับกันเราใส่แค่เสื้อผ้าอยู่จำนวน 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่เรารับโทรศัพท์ มักมาจากกลุ่มคนที่โทรศัพท์เข้ามาเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่ดินทั้งหมด มักถือครองโดยคนส่วนน้อยเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของรางวัลในการแข่งขันประเภทต่างๆ เช่น กีฬา ดนตรี ประกวดร้องเพลง มักเป็นของคนเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ของเวลาในการทำงานแต่ละวัน เราได้ผลลัพธ์เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
การประยุกต์ กฎ 20/80 ของพาเรโท จึงมีความสำคัญเพราะกฎนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การบริหารเวลา , การบริหารลูกค้า , การบริหารสินค้าคงคลัง , การบริหารธุรกิจ , การพัฒนาตนเอง เป็นต้น
เช่น
– หากเราพบว่า สินค้าแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ สินค้าแค่ 2 ใน 10 เป็นสินค้าที่ขายดี เราจะทำอย่างไรถึงจะช่วย
ส่งเสริม พัฒนา ให้สินค้า 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ 2 ใน 10 ชิ้น นั้น ให้เกิดการขายดียิ่งขึ้นหรือทำกำไรให้ได้ดียิ่งขึ้น
– หากเราพบว่า มีลูกค้ารายใหญ่เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าทั้งหมด สั่งซื้อสินค้าถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เราจะทำอย่างไรกับลูกค้ารายใหญ่นั้น เพื่อเพิ่มยอดการสั่งซื้อให้มากขึ้นอีก
ดังนั้น จงให้ความสำคัญกับ 20 เปอร์เซ็นต์ ที่มีคุณค่าสูงของการทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้ท่านได้ผลลัพธ์มากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แล้วท่านก็จะความประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

#image_title
by drsuthichai | Nov 4, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
ทำในสิ่งที่สำคัญก่อน
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
หากไปถามคนทำงานส่วนใหญ่ในปัจจุบัน….ว่ามีปัญหาอะไรในการทำงาน คนส่วนมากมักบอกว่า “ ผมมีงานที่ต้องทำมากแต่มีเวลาน้อยในการทำงาน”
แต่แท้ที่จริงแล้ว…คนที่ประสบความสำเร็จ คนที่เป็นนักบริหารใหญ่…มักมีงานที่ต้องทำมากกว่าคนทั่วไป แต่ทำไมบุคคลเหล่านั้นถึงทำได้ สิ่งสำคัญก็คือ คนเหล่านั้น มีความสามารถในการบริหารเวลานั้นเอง
คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมง เท่ากัน แต่ใช้เวลาไม่เหมือนกัน “ จงทำในสิ่งที่สำคัญก่อน” แล้วทำมันอย่างมีสมาธิจดจ่อในการทำงานแต่ละชิ้น จึงเป็นวิธีการที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จและมีเวลาเหลือในการที่จะทำสิ่งต่างๆได้เพิ่มเติมในดำรงชีวิต
จงเพาะนิสัยการลำดับงาน แล้วดูงานที่สำคัญก่อน แล้วจงทำมันทันที เพราะ คนที่ลงมือทำงาน มีความสำคัญกว่าคนที่ชอบคุย ชอบวางแผน แต่ไม่ยอมลงมือทำงาน อีกทั้งการลำดับงานและการวางแผนงานที่ดี คุณควรวางแผนหรือคิดบนกระดาษ
ไบรอัน เทรซี่ นักพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ ได้กล่าวว่า “คนที่คิดและวางแผนบนกระดาษ มักประสบความสำเร็จกว่าคนที่คิดอย่างเดียวแต่ไม่มีการเขียนลงไปในกระดาษ” จงเขียนเป้าหมาย แล้วลำดับความสำคัญของงาน แล้วลงมือทำมัน
หากว่าคุณมีงานหลายงาน แต่งานที่สำคัญมักยาก ขอให้คุณจงทำงานที่ยากนั้นก่อน นี่อาจเป็นคำแนะนำที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เนื่องจากคนส่วนใหญ่ มักเลือกทำงานที่ง่ายก่อน แล้วง่ายที่ยากมักทำทีหลัง แต่คนที่ประสบความสำเร็จมักเลือกทำงานที่ยากก่อนแล้วจึงไปทำงานที่ง่ายในเวลาต่อมา
แล้วทำอย่างไร ถึงจะทำงานที่ยากก่อนงานที่ง่าย เพราะเราเคยชินในการทำงานที่ง่ายก่อนงานที่ยาก คำตอบก็คือ คุณต้อง ฝึกฝน ฝึกฝนและฝึกฝน ตนเอง หัดห้ามใจให้ทำงานที่ยากจนมันกลายเป็นนิสัย
คนทำงานส่วนใหญ่ มักชอบสบาย เช่น ชอบใช้เวลาในการทำงาน ไปกับการอ่านหนังสือพิมพ์ การนั่งทานกาแฟ พูดคุยกันในระหว่างทำงาน ซึ่งบางคนใช้เวลาในการพูดคุยนานจนเกินไป
แต่ตรงกันข้าม คนที่ประสบความสำเร็จ มักเลือกทำในสิ่งที่ทำให้บรรลุเป้าหมาย เช่น เลือกอ่านหนังสือเกี่ยวกับวงการที่ตนเองทำงานอย่างน้อยวันละ 1-2 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นนิตยสาร วารสาร ,เข้าเรียนหลักสูตรต่างๆเกี่ยวกับงานของคุณ ,ฟังวิชาการ เทป ซีดี ในรถยนต์ จงเปลี่ยนเวลาที่ใช้ในการขับรถเป็นเวลาเรียน, การพัฒนาตนเองในสายงานอาชีพของตนเอง ,สนใจทำในสิ่งที่สำคัญในการทำงานก่อน เป็นต้น
หากเป็นไปได้ ในทุกๆวัน คุณควรมีการวางแผนโดยเลือกทำให้ในสิ่งที่สำคัญก่อนดังนี้
1.หลังเลิกทำงานในแต่ละวันหรือก่อนเข้านอนในแต่ละวัน คุณควรวางแผนโดยการเขียนแผนว่า วันพรุ่งนี้คุณจะทำอะไร
2.จงเขียนและลำดับรายการที่มีความสำคัญมากไปหารายการที่มีความสำคัญน้อย
3.วันรุ่งขึ้นจงลงมือทำทันที โดยเลือกทำในงานที่มีความสำคัญและยากก่อน
4.จงหัดทำอย่างนี้สัก 21 วัน จนกลายเป็นนิสัย
จงทำในสิ่งที่มีความสำคัญก่อน จึงเป็นสิ่งที่ผู้ที่ปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ ควรลงมือทำ เนื่องจากเราไม่มีเวลามากพอที่จะทำทุกอย่าง

#image_title
by drsuthichai | Nov 4, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
จงอ่าน ฟัง เรื่องราวที่เกี่ยวกับแรงบันดาลใจ
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ชีวิตของคนบางคนมักเจอแต่เรื่องที่ล้มเหลว มีแต่เรื่องเศร้า มีแต่ปัญหา จนท้อแท้ใจ จนหมดกำลังใจ หากชีวิตของท่านเป็นเช่นนั้น จงสร้างกำลังใจให้แก่ตนเอง ด้วยการ สร้างแรงบันดาลใจจากการอ่าน การฟัง เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับแรงบันดาลใจ เช่น ประวัติส่วนตัวของผู้ประสบความสำเร็จ,การต่อสู้ของสัตว์แต่ละชีวิตเพื่อที่จะเอาตัวรอด เป็นต้น
จงอ่านทุกๆวัน แล้วชีวิตของท่านก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ท่านจะมีกำลังใจมากขึ้น ท่านจะมีพลังชีวิตมากขึ้น ท่านจะมีแรงในการต่อสู้เหตุการณ์ต่างๆ มากขึ้น
แล้วมีคนถามผมว่า แล้วตนเอง เป็นคนไม่ชอบอ่านละ ถ้าหากว่าท่านไม่ชอบอ่านหนังสือ ท่านก็จงฟังเรื่องราวที่เกี่ยวกับแรงบันดาลใจ แทน มีงานวิจัยที่น่าสนใจว่าคนทำงานส่วนใหญ่ใช้เวลาเดินทางไปทำงานหรือไปในที่ต่างๆ โดยรถยนต์ส่วนตัวเป็นจำนวนมาก
จงเปลี่ยนเวลาเดินทางเป็น เวลาศึกษาเล่าเรียน โดยการฟังเทป การฟังซีดี วิชาการในรถ โอกาสมีสำหรับผู้แสวงหาและค้นหาโอกาส แล้วบางคนอาจอ้างว่าแล้วผมไม่ได้เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวละ จะทำอย่างไร ท่านสามารถฟังวิชาการหรือเรื่องราวที่เกี่ยวกับแรงบันดาลใจได้โดย ซื้อเครื่องเล่นเทป หรือ เครื่องเล่นซีดี มาเปิดในห้องน้ำในขณะอาบน้ำ ในขณะทำงานในบ้าน หรือระหว่างเดินทางโดยฟังผ่าน MP3 ทางหูฟัง
หากว่าคุณปฏิบัติได้เช่นนี้เป็นประจำ มันจะสร้างความแตกต่างให้กับชีวิตของคุณ คุณจะเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จในอนาคต คนประสบความสำเร็จส่วนมากมักไม่ได้ทำงาน “หนัก” แต่เขาเหล่านั้นรู้จักเรียนรู้ที่จะทำงานอย่าง “ ฉลาด” ต่างหาก
โดยสรุปก็คือ คุณสามารถ อ่าน ฟัง เรื่องราวเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ ได้โดย
1.อ่านบทความในหนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร เกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ
2.ดูโทรทัศน์ รายการที่เกี่ยวกับชีวประวัติของบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการต่างๆ ดูว่าเขาต่อสู้อย่างไร ลำบากอย่างไร เขาอดทน มุ่งมั่นอย่างไร
3.ศึกษาจากการอ่านหนังสือชีวประวัติ ฟังเทป ดูวิดีโอ ที่เจ้าตัวเขียนหรือพูดเกี่ยวกับการต่อสู้ของตนเองจนประสบความสำเร็จและโดยส่วนตัวของผม ผมชอบอ่านและศึกษาประวัติของบุคคลสำคัญหลายๆคน เช่น โดนัลด์ ทรัมพ์ , จอห์น เอฟ เคเนดี้ , อับราฮัม ลินคอล์น , Tonyrobbins , Brian Tracy , บัณฑิต อึ้งรังสี เป็นต้น
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น กระผมขอยกตัวอย่าง เรื่องราวของ Starbucks (สตาร์บัคส์)เป็นร้านขายกาแฟที่มีชื่อเสียงระดับโลก Howard Schultz เป็นผู้ก่อตั้ง โดยแรกเริ่มเดิมที่เขาไปเที่ยวที่เมือง Seattle และพบร้านขายกาแฟชื่อ Starbucks ซึ่งมีเพียง 4 ร้านเท่านั้นในประเทศอเมริกาในขณะนั้น เขาจึงอยากที่จะสร้างวัฒนธรรมการกินกาแฟของคนอเมริกันขึ้นมาใหม่ ขณะนั้นในอดีตคนอเมริกามักไม่ค่อยพิถีพิถันการกินกาแฟมากนักซึ่งแตกต่างการกินกาแฟของคนยุโรป
โดยความรัก ความชอบและความฝันของเขา เขาจึงลงทุนลาออกจากงานประจำเพื่อไปตามหาความฝันของเขา เขายอมลงทุนเพื่อเป็นหุ้นส่วนกับเจ้าของ Starbucks ในขณะนั้น และเขาได้ลงทุนไปอิตาลี เพื่อไปดูวัฒนธรรมและต้นแบบของศิลปะการกินกาแฟ เมื่อไปถึงทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น
เขาจึงเสนอความคิดแก่หุ้นส่วนในการสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้แก่ Starbucks แต่หุ้นส่วนเขาไม่ยอม เขาจึงตัดสินใจซื้อหุ้นทั้งหมดเพื่อเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว เพื่อสร้างฝันของเขา ในที่สุด Starbucks เป็นร้านกาแฟที่คนรู้จักกันไปทั่วโลก และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินกาแฟสมัยใหม่ของชาวอเมริกา ในปัจจุบัน Starbucks มีสาขาประมาณ 16,000 สาขาทั่วโลก และ สำหรับประเทศไทยมีประมาณ 140 สาขา
จงอ่าน ฟัง เรื่องราวที่เกี่ยวกับแรงบันดาลใจ ให้มากๆ แล้วท่านจะเกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ในตัวของท่าน

#image_title