เมื่อท่านถูกฟ้องเป็นจำเลย หรือ ท่านตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาท่านอย่าได้คิดว่า “ หากเราไม่ผิด ใครก็ทำอะไรเราไม่ได้ ”ไม่จริงครับ ผมเคยเห็นคนที่คิดอย่างนี้ ติดคุกมาตั้งเยอะแล้วสิ่งที่ท่านควรทำคือ “ ท่านต้องหาพยานหลักฐานทั้งหมด ”แล้วไปปรึกษาทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายบางกรณีก็ต้องนำหลักฐานพยานไปแสดงต่อพนักงานสอบสวนเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

เมื่อท่านถูกฟ้องเป็นจำเลย หรือ ท่านตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาท่านอย่าได้คิดว่า “ หากเราไม่ผิด ใครก็ทำอะไรเราไม่ได้ ”ไม่จริงครับ ผมเคยเห็นคนที่คิดอย่างนี้ ติดคุกมาตั้งเยอะแล้วสิ่งที่ท่านควรทำคือ “ ท่านต้องหาพยานหลักฐานทั้งหมด ”แล้วไปปรึกษาทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายบางกรณีก็ต้องนำหลักฐานพยานไปแสดงต่อพนักงานสอบสวนเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

เมื่อท่านถูกฟ้องเป็นจำเลย หรือ ท่านตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา
ท่านอย่าได้คิดว่า “ หากเราไม่ผิด ใครก็ทำอะไรเราไม่ได้ ”
ไม่จริงครับ ผมเคยเห็นคนที่คิดอย่างนี้ ติดคุกมาตั้งเยอะแล้ว
สิ่งที่ท่านควรทำคือ “ ท่านต้องหาพยานหลักฐานทั้งหมด ”
แล้วไปปรึกษาทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมาย
บางกรณีก็ต้องนำหลักฐานพยานไปแสดงต่อพนักงานสอบสวน
เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 

การปลอมลายมือ ลงในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้อื่น โดยไม่มีการเติมหรือตัดทอนข้อความหรือเเก้ไขสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนให้เเตกต่างไปจากสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนนี้เเต่อย่างใด เป็นเพียงการปลอมเอกสาร ไม่ใช่เป็นการปลอมเอกสารราชการ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12137/2558ความผิดฐานปลอมเอกสารต้องเป็นการกระทำต่อเอกสารอันเป็นผลให้เอกสารนั้นผิดแผกแตกต่างไป ด้วยเจตนาให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารที่แท้จริง แม้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนจะเป็นเอกสารราชการ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่ามีเพียงการปลอมลายมือชื่อของโจทก์ร่วมลงในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนที่แท้จริงของโจทก์ร่วม โดยไม่มีการเติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนให้แตกต่างไปจากสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนนี้แต่อย่างใด สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวยังคงเป็นเอกสารที่แท้จริง การปลอมลายมือชื่อโจทก์ร่วมลงในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนจึงเป็นเพียงการปลอมเอกสารตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก เท่านั้น เมื่อจำเลยใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ร่วมดังกล่าว จึงไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม คงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรกทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

การปลอมลายมือ ลงในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้อื่น โดยไม่มีการเติมหรือตัดทอนข้อความหรือเเก้ไขสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนให้เเตกต่างไปจากสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนนี้เเต่อย่างใด เป็นเพียงการปลอมเอกสาร ไม่ใช่เป็นการปลอมเอกสารราชการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12137/2558
ความผิดฐานปลอมเอกสารต้องเป็นการกระทำต่อเอกสารอันเป็นผลให้เอกสารนั้นผิดแผกแตกต่างไป ด้วยเจตนาให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารที่แท้จริง แม้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนจะเป็นเอกสารราชการ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่ามีเพียงการปลอมลายมือชื่อของโจทก์ร่วมลงในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนที่แท้จริงของโจทก์ร่วม โดยไม่มีการเติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนให้แตกต่างไปจากสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนนี้แต่อย่างใด สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวยังคงเป็นเอกสารที่แท้จริง การปลอมลายมือชื่อโจทก์ร่วมลงในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนจึงเป็นเพียงการปลอมเอกสารตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก เท่านั้น เมื่อจำเลยใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ร่วมดังกล่าว จึงไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม คงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก
ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

รวมคำถามยอดฮิตเรื่อง รับทำบัญชี จังหวัดกระบี่ และคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ

รวมคำถามยอดฮิตเรื่อง รับทำบัญชี จังหวัดกระบี่ และคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ

การทำบัญชีที่ถูกต้องและเป็นระบบ ถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจทุกประเภท โดยเฉพาะธุรกิจในพื้นที่ท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเติบโตอย่างภูเก็ต กระบี่ และพังงา ซึ่งจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาทางบัญชีที่มีความเข้าใจในลักษณะของธุรกิจในท้องถิ่นอย่างแท้จริง

หากคุณกำลังมองหา สำนักงานบัญชี ภูเก็ต ที่พร้อมให้บริการทั้งงานบัญชีรายเดือน รายปี วางแผนภาษี หรือจัดทำงบการเงิน เราคือผู้ให้บริการที่มีประสบการณ์และความชำนาญเฉพาะทาง

 

📌 ทำไมต้องเลือกใช้บริการสำนักงานบัญชีท้องถิ่น?

เข้าใจระบบภาษีและข้อกฎหมายไทย

ประสานงานกับกรมสรรพากรและหน่วยงานราชการในพื้นที่ได้รวดเร็ว

ให้คำปรึกษาเฉพาะธุรกิจท้องถิ่น เช่น ธุรกิจโรงแรม วิลล่า ร้านอาหาร

ตอบโจทย์ SME ที่ต้องการควบคุมต้นทุน

💼 บริการของเรา: รับทำบัญชีครบทุกขั้นตอน

✅ รับทำบัญชีรายเดือนกระบี่

บริการจัดทำบัญชีประจำเดือนอย่างครบถ้วน ถูกต้องตามมาตรฐานกรมสรรพากร ทั้งการลงบัญชี, ยื่นแบบภาษี ภงด.1, 3, 53, ภพ.30 รวมถึงการจัดทำรายงานประจำเดือน พร้อมวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย เพื่อช่วยให้ธุรกิจในจังหวัดกระบี่มีระบบการเงินที่แข็งแรง

✅ รับทำบัญชี จังหวัดกระบี่

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอำเภอเมืองกระบี่, อ่าวนาง หรือเกาะลันตา เราพร้อมให้บริการถึงที่ พร้อมดูแลทั้งบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง ด้วยทีมงานที่เข้าใจรูปแบบธุรกิจท้องถิ่น

✅ รับทำบัญชีพังงา

บริการสำหรับเจ้าของธุรกิจในจังหวัดพังงา เช่น รีสอร์ท ร้านค้าท้องถิ่น หรือกิจการบริการต่าง ๆ ที่ต้องการผู้ดูแลบัญชีมืออาชีพ ดูแลงานเอกสารภาษีและบัญชีครบถ้วน รวมถึงการให้คำปรึกษาด้านวางแผนภาษี

🎯 จุดเด่นของสำนักงานบัญชีเรา

  • ให้บริการแบบรายเดือน รายปี ตามความเหมาะสม

  • ทีมงานมีประสบการณ์ในพื้นที่ภาคใต้

  • ตรวจสอบบัญชีย้อนหลัง และให้คำแนะนำในการปรับปรุง

  • มีระบบบัญชีออนไลน์ สามารถดูรายงานได้ 24 ชั่วโมง

  • ให้คำแนะนำฟรีเบื้องต้นก่อนเริ่มงาน

🧾 ตัวอย่างกลุ่มลูกค้าที่เราให้บริการ

  • บริษัทท่องเที่ยว

  • วิลล่าให้เช่า / โรงแรมขนาดเล็ก

  • ร้านอาหาร ร้านกาแฟ

  • ธุรกิจบริการทั่วไป และ Startup

✅ สรุป: ทำไมธุรกิจคุณควรเลือกเรา

หากคุณกำลังมองหา สำนักงานบัญชี ภูเก็ต หรือบริการ รับทำบัญชีรายเดือนกระบี่ รวมถึงบริการ รับทำบัญชี จังหวัดกระบี่ และ รับทำบัญชีพังงา เราคือคำตอบที่มั่นใจได้ ด้วยประสบการณ์ยาวนาน และทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในพื้นที่ เราพร้อมดูแลบัญชีของคุณให้ครบถ้วน ถูกต้อง และสอดคล้องกับกฎหมายทุกประการ

SHINE ACCOUNTING & TAX

สำนักงานบัญชี ภูเก็ต – รับทำบัญชีพังงา กระบี่ รายเดือน ครบวงจร

Shine Accounting คือสำนักงานบัญชีสมัยใหม่ที่ให้บริการครบวงจร ทั้งด้านบัญชี ภาษี และการวางแผนธุรกิจ เราเชื่อว่าบริการที่ดีไม่ใช่แค่ความถูกต้องของตัวเลข แต่คือการเข้าใจภาพรวมของธุรกิจคุณอย่างแท้จริง ทีมงานมืออาชีพของเราพร้อมให้คำปรึกษาเชิงลึก วิเคราะห์อย่างตรงจุด และควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษี เพื่อให้คุณ บริหารธุรกิจได้มั่นใจ เติบโตอย่างยั่งยืน

เบอร์โทรติดต่อ : 092-5349592

รู้หรือไม่? Rockwool (ใยหิน) ปลูกต้นไม้ได้ด้วย!

รู้หรือไม่? Rockwool (ใยหิน) ปลูกต้นไม้ได้ด้วย!

Rockwool can plant trees too

Rockwool หรือ ใยหิน คืออะไร?

อย่างที่หลายท่านได้ทราบไปแล้วก่อนหน้านี้ว่าฉนวนใยหินนั้นมีคุณสมบัติมากมายหลายหลากขนาดไหน จาก บทความ ฉนวนร็อควูล ฉนวนใยหิน คือ อะไร?

แต่ถ้าท่านใดยังไม่เคยรู้จัก ฉนวนใยหิน มาก่อน FATEK Group ของเราก็มีคำอธิบายสั้น ๆ ให้แก่ท่าน
ฉนวนใยหิน คือ วัตถุดิบที่ได้มาจากธรรมชาติ ซึ่งต้นกำเนิดนั้นมาจากหินภูเขาไฟที่ปะทุออกมานั่นคือหินบาซอลท์

โดยใยหิน นั้นใช้หินปูนและหินบาซอลท์ นำมาหลอมรวมในเตาเผาที่ใช้ถ่านโค้กเป็นเชื้อเพลิง ด้วยอุณภูมิที่สูงกว่า 1,300 องศาเซลเซียส วัสดุที่ถูกหลอมนั้นจะถูกปั่นให้กลายเป็นเส้นใยหิน และนำมาใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างอย่างแพร่หลาย

ได้ทำความรู้จัก ใยหิน กันไปคร่าว ๆ แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ใครหลาย ๆ คน รวมไปถึงตัวผู้เขียนเองก็เพิ่งได้ทราบ ถึงประโยชน์อีกหนึ่งอย่างของเจ้าร็อควูล สิ่ง ๆ นั้นก็คือ ฉนวนใยหิน สามารถนำมาใช้ในการเพาะปลูกพืช และต้นไม้ได้ด้วย

ทำไมจู่ ๆ ใยหินจึงถูกนำมาเป็นวัสดุเพาะปลูก? แล้วมีข้อดีอย่างไร? มาหาคำตอบกันดีกว่า

เนื้อแผ่นฉนวนใยหิน Rockwool
ภาพแสดงลักษณะของ Rockwool หรือ ใยหิน

ทำไม Rockwool Cube จึงถูกนำมาเป็นวัสดุเพาะปลูก?

อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า ใยหิน นั้นได้มาจากหินภูเขาไฟที่ปะทุออกมาแล้วจึงค่อยนำมาแปรรูป ดังนั้นแร่ธาตุต่าง ๆ ที่อยู่ใน ร็อควูล จึงมีมากมายหลายอย่าง และแร่ธาตุเหล่านั้นเป็นแร่ธาตุสำคัญที่พืชต้องการ แล้วด้วยตัวของใยหินนั้นมีลักษณะที่อุ้มน้ำได้อย่างดี ทั้งหมดนี้ ใยหิน จึงเหมาะสมกับการนำมาเป็นวัสดุเพาะปลูก

โดยในปัจจุบัน ใยหิน มีการถูกตัดและอัดขึ้นรูปหลากหลายขนาด เพื่อให้สะดวกและเหมาะสมกับการเพาะปลูกพืช ใยหินแบบนี้มีเชื่อเรียกว่า Rockwool Cubes หรือ ก้อนใยหิน

ก้อนใยหิน นั้นประกอบไปด้วยแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อพืช ดังนี้ ซิลิกอนไดออกไซด์ (SiO2), อะลูมิเนียมออกไซด์ (Al2O3), แคลเซียมออกไซด์ (CaO) , แมกนีเซียมออกไซด์ (MgO) และ ธาตุเหล็ก (Fe)

นอกจากนี้ยังมีหินปูน และถ่านหินซึ่งเป็นวัสดุสะอาด สามารถดูดซับน้ำได้ดี ปราศจากเชื้อโรค มีปริมาตรช่องว่าง 97% มีการปลดปล่อยธาตุแคลเซียม, แมกนีเซียม รวมไปถึง โซเดียม เล็กน้อย

ใยหิน เป็นวัสดุที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพที่ดีต่อพืช นิยมใช้เป็นวัสดุชำและวัสดุปลูก ในแถบทวีปยุโรป, อเมริกาและออสเตรเลีย โดยในต่างประเทศมีการทดลองนำใยหินมาผสมกับวัสดุปลูกชนิดอื่น เช่น พีทมอส, เวอมิคูไลท์, เพอไลท์ มีการผสมใยหินในสัดส่วน 10, 20 และ 30% ตามลำดับ

ผลการทดลองปรากฏว่าดินที่ผสมใยหิน 20% นั้นทำให้ต้นพืชที่ทดสอบเจริญเติบโตได้ดีที่สุด ในประเทศไทยก็เริ่มมีการใช้ใยหินมาเพาะปลูกเช่นเดียวกัน โดยมีการใช้ใยหินล้วน ๆ เพียงอย่างเดียว และการใช้ร่วมกับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอื่น ๆ มาผสมเป็นวัสดุปลูกพืช เช่น มะเขือเทศ หรือแคนตาลูป

การใช้เทคโนโลยีแบบไฮโดรโปนิกส์ โดยใช้ใยหินภูเขาไฟในการเพาะปลูก นั้นมีความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เพราะสามารถนำน้ำส่วนที่เกินความจำเป็นหมุนกลับมาใช้ใหม่ได้ นั่นหมายความว่ามีการใช้น้ำลดลงถึง 50 เปอร์เซ็นต์

รวมไปถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยยังช่วยให้การเพาะปลูกมีความเที่ยงตรงมากขึ้น สามารถตรวจวัดน้ำ, ควบคุมปริมาณน้ำ และปริมาณปุ๋ยได้อีกด้วย

Rockwool Cubes 04
Rockwool Cubes หรือ ก้อนใยหิน
Source: File:Rockwool cubes-envelope

ข้อดี ของการใช้ Rockwool Cube ปลูกต้นไม้มีอะไรบ้าง?

นอกจากนี้ ก้อนใยหิน ยังมีประโยชน์และข้อดีอีกหลายอย่าง ที่เหมาะกับการเป็นวัสดุปลูกที่ดี

– มีสารอาหารที่พืชต้องการอย่างครบถ้วน: ใยหินนั้นมีแร่ธาตุที่ประกอบไปด้วย ซิลิกอนไดออกไซด์ (SiO2), อะลูมิเนียมออกไซด์ (Al2O3), แคลเซียมออกไซด์ (CaO) , แมกนีเซียมออกไซด์ (MgO),ธาตุเหล็ก (Fe) และ อื่น ๆ อีกมายมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อพืชทั้งสิ้น

– มีความพรุนสูง 98% ทำให้เก็บอากาศ และเก็บน้ำได้ดี: เนื่องจากมีความพรุนสูง ทำให้มีน้ำและอากาศถูกกักเก็บอยู่ภายในก้อนใยหิน และมีปริมาณที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืช ก้อนใยหินสามารถอุ้มน้ำได้ถึง 70 – 80 % ทำให้เหมาะสมกับการทำฟาร์มไฮโดรโปนิกส์ที่สุด

– ป้องกันไม่ให้รากของพืชแห้ง พร้อมกับการมีอากาศให้รากได้หายใจ: เนื่องจากลักษณะทางกายภาพของก้อนใยหินนั้นสามารถระบายน้ำส่วนเกินได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีช่องว่างที่สามารถให้อากาศแทรกเข้ามา ให้รากได้หายใจ มีอากาศหมุนเวียนอยู่ตลอด

– ไม่ทำปฏิกิริยาทางเคมีกับธาตุอาหารของพืช: เนื่องจากผลิตมาจากธรรมชาติ จึงไม่มีสารเคมีที่สามารถเป็นอันตรายต่อพืช ปลอดภัยทั้งกับรากและลำต้น นอกจากนี้ยังมีภูมิคุ้มกันเชื้อจุลินทรีย์ เป็นวัสดุที่ปลอดโรคและแมลง จึงไว้วางใจได้ว่าพืชที่เพาะปลูกจะไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน

– สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้: ในฐานะที่เป็นอนุพันธ์ของหิน ใยหินจึงไม่แตกหัก หรือสึกกร่อนเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นจึงสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้หลายครั้งด้วยกัน แต่แนะนำให้ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อน ไม่ว่าจะต้มหรือนึ่งก่อนที่จะนำมาใช้ใหม่อีกครั้ง

Rockwool Cubes 02
ก้อนใยหิน ที่มีลักษณะเหมาะกับการเพาะปลูกพืช
Source: File:Hydroponic Farming.jpg

การปลูกพืชใน Rockwool Cubes ทำอย่างไร?

ขั้นตอนการเตรียมการ: เนื่องจากก้อนใยหินนั้นมีค่า pH หรือความเป็นกรดด่าง โดยก้อนใยหินมีความเป็นด่างสูงมากตามธรรมชาติ อยู่ที่ระดับ 7.5-8.5 ซึ่งอาจจะยังไม่เหมาะกับการนำมาเพาะปลูกพืชในทันที ค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกควรจะอยู่ที่ 5-7 จะดีที่สุด จึงต้องนำก้อนใยหินไปปรับค่าความเป็นกรดด่างก่อนนั่นเอง

วิธีการปรับค่า pH อย่างง่ายคือการนำก้อนใยหินที่เราต้องการใช้เป็นวัสดุเพาะปลูกมาแช่น้ำให้ท่วม และบีบมะนาวลงไปเพื่อปรับค่าความเป็นด่างให้กลับมาอยู่ที่ปกติ และแช่ทิ้งไว้ครู่หนึ่ง การแช่น้ำที่ผสมกับน้ำมะนาวเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอต่อการปรับค่าความเป็นด่างให้กลับมาเหมาะสมกับการเพาะปลูกแล้ว

การหว่านเมล็ด: สามารถนำเมล็ดพืชที่ต้องการเพาะพันธุ์มาใส่ลงในหลุมของก้อนใยหินที่ชุ่มน้ำ ประมาณ 2-3 เมล็ดต่อ 1 หลุม เมื่อต้นอ่อนงอกสูงออกมาประมาณ 2-3 นิ้ว ก็สามารถนำต้นอ่อนไปปลูกลงดิน ปลูกในสวนไฮโดรโปนิกส์ หรือแม้แต่การปลูกในก้อนใยหินต่อไปก็สามารถทำได้

Rockwool Cubes 03
ต้นอ่อนของพืชที่ขึ้นบน ก้อนใยหิน
Source: File:Diagonal Hydroponic Pattern.jpg

โดยก้อนใยหินนั้นเหมาะสมมากที่จะเป็นสารตั้งต้นของฟาร์มไฮโดรโปนิกส์ หรือแม้แต่การเพาะปลูกในครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นการปลูกแบบขวดโหล หรือแบบทำเป็นระบบเพาะปลูกในระบบใหญ่ ๆ ซึ่งการใช้ก้อนใยหินในการปลูกจะทำให้พืชของคุณมีความแข็งแรง ได้สารอาหารที่ครบถ้วน และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

หากว่าท่านสนใจผลิตภัณฑ์แผ่นฉนวนสำเร็จรูปที่มีไส้ฉนวนเป็น ใยหิน ที่มีคุณสมบัติที่หลากหลายในหลาย ๆ ด้าน สามารถติดต่อสอบถามทาง FATEK Group ของเราได้ทุกช่องทาง เราพร้อมจะดูแลทุกท่านอย่างสุดกำลัง

 

https://fi.co.th/article/rockwool-can-plant-trees-too/

5 สัญญาณเตือนว่าโครงการของคุณควรเปลี่ยนบริษัทบริหารคอนโด

5 สัญญาณเตือนว่าโครงการของคุณควรเปลี่ยนบริษัทบริหารคอนโด

แนะนำวิธีเลือก บริษัทบริหารคอนโด และบริษัทนิติบุคคลหมู่บ้าน ให้คุ้มค่าและมืออาชีพ

การอยู่อาศัยในโครงการหมู่บ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียม ไม่ได้มีแค่เรื่องของบ้านหรือห้องชุดเท่านั้น แต่ การบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลาง ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะมีผลต่อคุณภาพชีวิต ความสะดวก ปลอดภัย และภาพลักษณ์ของโครงการ

การเลือก บริษัทบริหารคอนโดบริษัทนิติบุคคลหมู่บ้าน หรือ บริษัทนิติบุคคลหมู่คอนโด ที่มีประสบการณ์และความน่าเชื่อถือ จะช่วยยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยของลูกบ้านในระยะยาว

 

ทำไมต้องเลือกบริษัทมืออาชีพมาบริหารโครงการ?

  1. 🔐 การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ
    ทั้งด้านบัญชี การเงิน การจัดเก็บค่าส่วนกลาง การจัดซื้อ การจัดจ้าง รวมถึงการจัดประชุมใหญ่

  2. 🛠 ดูแลซ่อมบำรุงและความปลอดภัยของพื้นที่ส่วนกลาง
    เช่น สระว่ายน้ำ ลิฟต์ ระบบไฟฟ้า กล้องวงจรปิด ไปจนถึงการจัดจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย

  3. 🧾 จัดทำงบประมาณและรายงานการเงินอย่างโปร่งใส
    ทำให้เจ้าของร่วมทุกคนสามารถตรวจสอบและวางแผนงบประมาณได้อย่างชัดเจน

  4. 📢 ช่วยประสานงานระหว่างลูกบ้านกับคณะกรรมการ
    ลดความขัดแย้ง และช่วยให้การสื่อสารภายในโครงการเป็นไปอย่างราบรื่น


วิธีเลือก บริษัทบริหารคอนโด และ บริษัทนิติบุคคลหมู่บ้าน อย่างไรให้ไม่ผิดหวัง

1. 📚 ตรวจสอบประสบการณ์และผลงานที่ผ่านมา

เลือกบริษัทที่มีประสบการณ์ตรงใน บริษัทนิติบุคคลหมู่คอนโด หรือเคยบริหารโครงการลักษณะคล้ายกับของคุณ

2. ✅ ตรวจสอบใบอนุญาตและมาตรฐาน

บริษัทที่ดีควรจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และมีทีมงานเฉพาะทางในแต่ละด้าน เช่น บัญชี, วิศวกร, ทีมจัดการ

3. 🧑‍💼 เช็กทีมงานและบริการหลังการเซ็นสัญญา

มีเจ้าหน้าที่ประจำโครงการหรือไม่? บริการรวดเร็วแค่ไหน? ช่วยติดตามงานแจ้งซ่อมดีหรือเปล่า?

4. 💬 อ่านรีวิว และสอบถามโครงการที่เคยใช้บริการ

ยิ่งได้คำแนะนำจากโครงการที่คล้ายกัน ยิ่งมั่นใจได้มากขึ้น

5. 💵 พิจารณาเรื่องราคาและความคุ้มค่า

ไม่จำเป็นต้องเลือกที่ราคาถูกที่สุด แต่ควรเปรียบเทียบราคากับบริการที่ได้รับอย่างรอบคอบ


ตัวอย่างบริการที่ควรมีใน บริษัทนิติบุคคลหมู่บ้าน และ บริษัทบริหารคอนโด

  • จัดประชุมใหญ่ประจำปี / บริหารเอกสารนิติบุคคล

  • ควบคุมดูแลงานแม่บ้าน, รปภ., สวน

  • ตรวจเช็กและวางแผนซ่อมบำรุงระยะยาว

  • ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัย

  • ดูแลระบบจัดเก็บค่าส่วนกลาง / แจ้งเตือนหนี้ค้างชำระ


📌 สรุป

การเลือก บริษัทบริหารคอนโดบริษัทนิติบุคคลหมู่บ้าน, หรือ บริษัทนิติบุคคลหมู่คอนโด ไม่ควรมองแค่ราคาถูก แต่ต้องพิจารณาจากประสบการณ์ ความเป็นมืออาชีพ และความโปร่งใสของระบบการทำงาน

✅ บริษัทที่ดีจะทำให้โครงการน่าอยู่
✅ ลูกบ้านสบายใจ
✅ และส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และมูลค่าทรัพย์สินของทุกคนในระยะยาว

หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญในการดูแลนิติบุคคลอย่างครบวงจร ลองเลือกบริษัทที่เข้าใจภาพรวมของการบริหารโครงการอย่างแท้จริง แล้วคุณจะเห็นความแตกต่างทันทีตั้งแต่ปีแรกของการบริหารค่ะ 🏡✨

Premium Choice Service บริษัทบริหารคอนโด และบริษัทนิติบุคคลหมู่บ้าน พร้อมดูแลโครงการของคุณอย่างมืออาชีพ ครบ จบ ในที่เดียว การออกแบบการบริการจากประสบการณ์ของบริษัทผู้บริหารและการบริการงานด้านอสังหาริมทรัพย์บริษัทบริหารคอนโดทั้งอาคารชุด (คอนโด) และ บริษัทนิติบุคคลหมู่บ้าน มากกว่า 20 ปี

Contact

093-319-9642

Facebook : Premium choice service-รับบริหารคอนโด และหมู่บ้าน

34 ลาดพร้าว 81 แขวงคลองเจ้าคุณสิงห์ เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร 10310

Rediscover Freedom and Joy in Retirement – Welcome to Hua Hin

Rediscover Freedom and Joy in Retirement – Welcome to Hua Hin

RETIREMENT HOMES in HUA HIN

Rediscover Freedom and Joy in Retirement – Welcome to Hua Hin

Retirement should be a time of peace and fulfillment, but too often it turns into monotony. Wake up, eat, read, sleep — repeat. If you’re starting to feel that each day looks just like the last, it might be time to rethink what retirement can truly be.

Imagine a place where your mornings begin with the gentle sounds of ocean waves and your afternoons are filled with meaningful activities — from painting in the garden to enjoying Thai cuisine with new friends. That place is Hua Hin, Thailand.

At our Retirement Homes in Hua Hin, we believe retirement should be anything but boring. Located in one of Thailand’s most beloved coastal towns, our community blends the comforts of home with the exotic charm of tropical living. Here, life is relaxed, but never dull.

You’ll enjoy clean air, lush surroundings, and warm sunshine almost every day of the year. More importantly, you’ll have the freedom to do more of what you love — and perhaps discover new passions you never had time for before.

Our facilities are designed to support both independent and assisted living. Whether you’re looking for privacy or social connection, you’ll find a space that suits your lifestyle. Wellness programs, hobby clubs, and friendly staff are all part of the experience.

Life in Hua Hin is also affordable. Your money goes further here, without sacrificing comfort or care. And thanks to the welcoming local culture and strong expat community, you’ll feel right at home — even thousands of miles away from your old routine.

So, if your retirement life feels too quiet, too still, or simply too predictable — maybe it’s time for a change. Maybe it’s time for a new chapter in a new place.

Learn more about our vibrant community at Retirement Homes in Hua Hin

5 ขนาดแผ่นปูทางเท้ายอดนิยม เลือกแบบไหนดีให้คุ้มที่สุด?

5 ขนาดแผ่นปูทางเท้ายอดนิยม เลือกแบบไหนดีให้คุ้มที่สุด?

หากคุณกำลังวางแผนปูพื้นหน้าบ้าน ทำทางเดินในสวน หรือแม้แต่ปูพื้นลานจอดรถ สิ่งแรก ๆ ที่ต้องคิดก็คือ “จะใช้แผ่นปูทางเท้าขนาดไหนดี?”
แผ่นปูทางเท้าคอนกรีตอาจดูเหมือนเรียบง่าย แต่ขนาดของแผ่นนั้นส่งผลต่อทั้งราคา ความแข็งแรง การจัดวาง และรูปลักษณ์โดยรวมอย่างไม่น่าเชื่อ

วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จัก 5 ขนาดแผ่นปูทางเท้ายอดนิยม ที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้ พร้อมเทคนิคเลือกขนาดให้ คุ้มค่าและเหมาะกับงานที่สุด ไม่ต้องเสียเงินเกินจำเป็น!

ทำไมขนาดของแผ่นปูทางเท้าถึงสำคัญ?

ก่อนจะไปดูแต่ละขนาด มาทำความเข้าใจเบื้องต้นกันก่อนว่า “ทำไมต้องเลือกขนาดให้ดี?” เพราะแผ่นปูทางเท้าแต่ละขนาดมีผลต่อ…

  • ✅ ต้นทุนต่อ ตร.ม. – ขนาดเล็กมักใช้แผ่นจำนวนมาก ต้นทุนแรงงานสูงกว่า

  • ✅ ความเร็วในการติดตั้ง – แผ่นใหญ่ปูเร็วกว่า แต่อาจหนักและวางยาก

  • ✅ ลวดลายและความสวยงาม – บางขนาดเหมาะกับลายแบบโมเดิร์น บางขนาดให้ฟีลธรรมชาติ

  • ✅ การใช้งาน – งานจอดรถต้องเลือกขนาดหนาและแข็งแรงกว่างานทางเดินในสวน

 

1. แผ่นปูทางเท้าขนาด 30×30 ซม.

ข้อดี:

  • ราคาต่อแผ่นถูกมาก เริ่มต้นเพียง 10–15 บาท

  • น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายง่าย เหมาะกับงาน DIY

  • เหมาะสำหรับทางเดินในสวน ทางเท้ารอบบ้าน

ข้อควรระวัง:

  • ต้องใช้เยอะต่อ 1 ตารางเมตร (ประมาณ 11 แผ่น/ตร.ม.)

  • ปูช้า และอาจไม่ทนหากต้องรับน้ำหนักมาก

เหมาะกับใคร? คนที่มีงบจำกัด อยากแต่งสวนเล็ก ๆ หรือทำเองที่บ้าน
ความคุ้มค่า: ★★★★☆

2. ขนาด 40×40 ซม.

ข้อดี:

  • เป็น ขนาดยอดนิยม ที่หาซื้อง่ายในท้องตลาด

  • ความหนามาตรฐาน รองรับน้ำหนักคนเดินได้สบาย

  • ดูเรียบร้อย ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป

ราคาโดยประมาณ:

  • 20–30 บาท/แผ่น (ใช้ประมาณ 6.25 แผ่น/ตร.ม.)

เหมาะกับใคร? คนที่ต้องการความเรียบง่าย ใช้ได้ทุกจุดของบ้าน
ความคุ้มค่า: ★★★★★

3. ขนาด 50×50 ซม.

ข้อดี:

  • ครอบคลุมพื้นที่ได้เร็วขึ้น ใช้เพียง 4 แผ่น/ตร.ม.

  • ประหยัดแรงงานและเวลาปูพื้น

  • หน้าตาดู “เต็มพื้นที่” เหมาะกับลานหน้าบ้านหรือลานซักล้าง

ราคาโดยประมาณ:

  • 35–45 บาท/แผ่น

ข้อควรระวัง:

  • หนักขึ้นมาก ต้องการคนยกที่มีแรงพอสมควร

  • ถ้าฐานไม่แน่น มีโอกาสแตกร้าวได้ง่าย

เหมาะกับใคร? เจ้าของบ้านที่อยากปูพื้นที่เยอะโดยเร็ว หรือจ้างช่าง
ความคุ้มค่า: ★★★★☆

4. ขนาด 60×60 ซม.

ข้อดี:

  • ดูเรียบหรูแบบ modern minimal

  • แผ่นใหญ่ จัดวางให้ดูโล่งโปร่ง

  • เหมาะกับงานเชิงพาณิชย์ เช่น โรงแรม โฮมออฟฟิศ

ราคาโดยประมาณ:

  • 55–70 บาท/แผ่น (ใช้ประมาณ 2.8 แผ่น/ตร.ม.)

ข้อควรระวัง:

  • หนักมาก ต้องใช้คนชำนาญติดตั้ง

  • หากแตกเสียหาย ซ่อมเฉพาะจุดยาก

เหมาะกับใคร? ผู้รับเหมาหรือเจ้าของโครงการที่ต้องการความหรู
ความคุ้มค่า: ★★★☆☆

5. แผ่นขนาดพิเศษ (เช่น 20×40 / 25×25 ซม.)

จุดเด่น:

  • ใช้ทำลวดลายเฉพาะ เช่น ลายก้างปลา ลายขั้นบันได

  • เหมาะกับงานดีไซน์ เช่น สวนแนวญี่ปุ่น หรือจัดมุมพักผ่อน

ราคาโดยประมาณ:

  • 15–25 บาท/แผ่น แล้วแต่ลายและความหนา

เหมาะกับใคร? สายแต่งสวนที่ชอบเล่นลวดลาย
ความคุ้มค่า: ★★★★☆

แล้วควรเลือกขนาดไหนดี?

ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก:

  1. 🧱 พื้นที่ใช้งาน – ถ้าพื้นที่กว้าง ใช้แผ่นใหญ่จะประหยัดแรงกว่า

  2. 💸 งบประมาณ – แผ่นเล็กอาจถูกต่อแผ่น แต่รวมค่าแรงแล้วอาจไม่คุ้ม

  3. 🪴 ลุคที่ต้องการ – อยากได้ลุคโมเดิร์นหรือธรรมชาติ ก็มีผลต่อการเลือกขนาดเช่นกัน

หากยังไม่มีไอเดียว่าควรจัดพื้นที่ยังไง ลองเข้าไปดูบทความ หาไอเดียตกแต่งสวนและบ้าน ลองมารู้จักกับแผ่นปูทางเท้า อาจช่วยให้คุณเห็นภาพชัดขึ้นว่าจะวางแผ่นทางเท้ายังไงให้คุ้มและสวยในงบที่มี

ทิ้งท้าย อย่าเพิ่งรีบซื้อ ถ้ายังไม่รู้จุดประสงค์ของพื้นที่

การเลือกแผ่นปูทางเท้าให้คุ้มค่า ไม่ใช่แค่ดูว่าราคาถูกที่สุด แต่ต้องมองรวมไปถึง การใช้งานจริง อายุการใช้งาน และรูปลักษณ์โดยรวม
ถ้าคุณยังลังเลว่าจะจัดมุมสวนยังไงดี หรือเลือกแบบไหนดีให้เข้ากับสไตล์บ้าน ลองเข้าไปดูเพิ่มเติมในหมวด ไอเดียแต่งบ้าน เพื่อหาแรงบันดาลใจเพิ่มเติมได้เลยค่ะ 🌿

หากคุณชอบบทความนี้ ฝากกดแชร์ให้เพื่อนที่กำลังจะปูพื้นบ้านหรือทำสวนด้วยนะคะ หรือหากมีคำถามเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ เช่น บล็อกปูพื้น, คอนกรีตสำเร็จ, รั้วแบบประหยัด ก็คอมเมนต์ไว้ด้านล่างได้เลย!

ผิดสัญญาเช่าและเป็นการกระทำผิดฐานละเมิดคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 923/2549สัญญาเช่าอาคารทั้งสองฉบับครบกำหนดเวลาเช่าตามที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว สัญญาเช่าย่อมระงับลง โดยมิพักต้องบอกกล่าวก่อน จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่ามีหน้าที่ต้องส่งคืนอาคารที่เช่าแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่า การที่จำเลยไม่ยอมส่งคืนอาคารที่เช่า เป็นการผิดสัญญาเช่าและการที่จำเลยยังครอบครองอาคารที่เช่าต่อไปโดยโจทก์ไม่ยินยอมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้ทั้งฐานผิดสัญญาและฐานละเมิด เพียงแต่เมื่อใช้สิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับฐานผิดสัญญาแล้วโจทก์ไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดได้ เพราะเป็นค่าเสียหายมูลกรณีเดียวกันสัญญาเช่าอาคารห้องเลขที่ 10 ข้อ 1 วรรคสองระบุว่า เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดหรือสิ้นสุดลงด้วยเหตุใดก็ตาม “ผู้เช่า” ต้องส่งมอบสถานที่เช่าคืนให้แก่ “ผู้ให้เช่า” ทันที ในกรณีที่ “ผู้เช่า” ไม่สามารถส่งมอบสถานที่เช่าคืนให้แก่ “ผู้ให้เช่า” “ผู้เช่า” ยินยอมชำระค่าปรับให้แก่ “ผู้ให้เช่า” วันละ 2,000 บาท นับแต่วันครบกำหนดส่งมอบจนถึงวันที่ได้ส่งมอบสถานที่เช่าคืนให้แก่ “ผู้ให้เช่า” เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นข้อตกลงกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในกรณีที่ผู้เช่าผิดสัญญาไม่สามารถส่งมอบอาคารที่เช่าคืนให้แก่ผู้ให้เช่าในทันที โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายตามสัญญาเช่าข้อ 1 วรรคสอง ได้ แต่เบี้ยปรับที่กำหนดไว้นั้นสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383สัญญาเช่าอาคารห้องเลขที่ 11 ข้อ 8 วรรคสอง ระบุว่า เมื่อมีการบอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม “ผู้เช่า” จะต้องย้ายออกไปจากที่เช่าทันที ถ้าไม่ขนย้ายออกไปยอมให้ค่าเสียหายค่าปรับเป็นเงินวันละ 2,000 บาท แก่ “ผู้ให้เช่า” ทุกวันจนกว่าจะขนย้ายออกไป ซึ่งระบุเงื่อนไขในการยอมให้ค่าเสียหายเฉพาะกรณีมีการบอกเลิกสัญญาเช่าเท่านั้น แตกต่างจากสัญญาเช่าอาคารห้องเลขที่ 10 แต่แม้จะเป็นกรณีที่สัญญาเช่าสิ้นสุดหรือระงับลงเพราะครบกำหนดเวลาเช่าไม่เข้าเงื่อนไขที่โจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาเช่า แต่โจทก์ก็มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิดได้ซึ่งโจทก์ได้บรรยายมาในฟ้องและนำสืบถึงจำนวนค่าเสียหายที่เกิดจากการกระทำละเมิดแล้ว ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคหนึ่งทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

ผิดสัญญาเช่าและเป็นการกระทำผิดฐานละเมิดคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 923/2549สัญญาเช่าอาคารทั้งสองฉบับครบกำหนดเวลาเช่าตามที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว สัญญาเช่าย่อมระงับลง โดยมิพักต้องบอกกล่าวก่อน จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่ามีหน้าที่ต้องส่งคืนอาคารที่เช่าแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่า การที่จำเลยไม่ยอมส่งคืนอาคารที่เช่า เป็นการผิดสัญญาเช่าและการที่จำเลยยังครอบครองอาคารที่เช่าต่อไปโดยโจทก์ไม่ยินยอมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้ทั้งฐานผิดสัญญาและฐานละเมิด เพียงแต่เมื่อใช้สิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับฐานผิดสัญญาแล้วโจทก์ไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดได้ เพราะเป็นค่าเสียหายมูลกรณีเดียวกันสัญญาเช่าอาคารห้องเลขที่ 10 ข้อ 1 วรรคสองระบุว่า เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดหรือสิ้นสุดลงด้วยเหตุใดก็ตาม “ผู้เช่า” ต้องส่งมอบสถานที่เช่าคืนให้แก่ “ผู้ให้เช่า” ทันที ในกรณีที่ “ผู้เช่า” ไม่สามารถส่งมอบสถานที่เช่าคืนให้แก่ “ผู้ให้เช่า” “ผู้เช่า” ยินยอมชำระค่าปรับให้แก่ “ผู้ให้เช่า” วันละ 2,000 บาท นับแต่วันครบกำหนดส่งมอบจนถึงวันที่ได้ส่งมอบสถานที่เช่าคืนให้แก่ “ผู้ให้เช่า” เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นข้อตกลงกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในกรณีที่ผู้เช่าผิดสัญญาไม่สามารถส่งมอบอาคารที่เช่าคืนให้แก่ผู้ให้เช่าในทันที โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายตามสัญญาเช่าข้อ 1 วรรคสอง ได้ แต่เบี้ยปรับที่กำหนดไว้นั้นสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383สัญญาเช่าอาคารห้องเลขที่ 11 ข้อ 8 วรรคสอง ระบุว่า เมื่อมีการบอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม “ผู้เช่า” จะต้องย้ายออกไปจากที่เช่าทันที ถ้าไม่ขนย้ายออกไปยอมให้ค่าเสียหายค่าปรับเป็นเงินวันละ 2,000 บาท แก่ “ผู้ให้เช่า” ทุกวันจนกว่าจะขนย้ายออกไป ซึ่งระบุเงื่อนไขในการยอมให้ค่าเสียหายเฉพาะกรณีมีการบอกเลิกสัญญาเช่าเท่านั้น แตกต่างจากสัญญาเช่าอาคารห้องเลขที่ 10 แต่แม้จะเป็นกรณีที่สัญญาเช่าสิ้นสุดหรือระงับลงเพราะครบกำหนดเวลาเช่าไม่เข้าเงื่อนไขที่โจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาเช่า แต่โจทก์ก็มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิดได้ซึ่งโจทก์ได้บรรยายมาในฟ้องและนำสืบถึงจำนวนค่าเสียหายที่เกิดจากการกระทำละเมิดแล้ว ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคหนึ่งทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

ผิดสัญญาเช่าและเป็นการกระทำผิดฐานละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 923/2549
สัญญาเช่าอาคารทั้งสองฉบับครบกำหนดเวลาเช่าตามที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว สัญญาเช่าย่อมระงับลง โดยมิพักต้องบอกกล่าวก่อน จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่ามีหน้าที่ต้องส่งคืนอาคารที่เช่าแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่า การที่จำเลยไม่ยอมส่งคืนอาคารที่เช่า เป็นการผิดสัญญาเช่าและการที่จำเลยยังครอบครองอาคารที่เช่าต่อไปโดยโจทก์ไม่ยินยอมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้ทั้งฐานผิดสัญญาและฐานละเมิด เพียงแต่เมื่อใช้สิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับฐานผิดสัญญาแล้วโจทก์ไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดได้ เพราะเป็นค่าเสียหายมูลกรณีเดียวกัน

สัญญาเช่าอาคารห้องเลขที่ 10 ข้อ 1 วรรคสองระบุว่า เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดหรือสิ้นสุดลงด้วยเหตุใดก็ตาม “ผู้เช่า” ต้องส่งมอบสถานที่เช่าคืนให้แก่ “ผู้ให้เช่า” ทันที ในกรณีที่ “ผู้เช่า” ไม่สามารถส่งมอบสถานที่เช่าคืนให้แก่ “ผู้ให้เช่า” “ผู้เช่า” ยินยอมชำระค่าปรับให้แก่ “ผู้ให้เช่า” วันละ 2,000 บาท นับแต่วันครบกำหนดส่งมอบจนถึงวันที่ได้ส่งมอบสถานที่เช่าคืนให้แก่ “ผู้ให้เช่า” เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นข้อตกลงกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในกรณีที่ผู้เช่าผิดสัญญาไม่สามารถส่งมอบอาคารที่เช่าคืนให้แก่ผู้ให้เช่าในทันที โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายตามสัญญาเช่าข้อ 1 วรรคสอง ได้ แต่เบี้ยปรับที่กำหนดไว้นั้นสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383
สัญญาเช่าอาคารห้องเลขที่ 11 ข้อ 8 วรรคสอง ระบุว่า เมื่อมีการบอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม “ผู้เช่า” จะต้องย้ายออกไปจากที่เช่าทันที ถ้าไม่ขนย้ายออกไปยอมให้ค่าเสียหายค่าปรับเป็นเงินวันละ 2,000 บาท แก่ “ผู้ให้เช่า” ทุกวันจนกว่าจะขนย้ายออกไป ซึ่งระบุเงื่อนไขในการยอมให้ค่าเสียหายเฉพาะกรณีมีการบอกเลิกสัญญาเช่าเท่านั้น แตกต่างจากสัญญาเช่าอาคารห้องเลขที่ 10 แต่แม้จะเป็นกรณีที่สัญญาเช่าสิ้นสุดหรือระงับลงเพราะครบกำหนดเวลาเช่าไม่เข้าเงื่อนไขที่โจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาเช่า แต่โจทก์ก็มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิดได้ซึ่งโจทก์ได้บรรยายมาในฟ้องและนำสืบถึงจำนวนค่าเสียหายที่เกิดจากการกระทำละเมิดแล้ว ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคหนึ่ง
ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

บอกเลิกสัญญาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7433/2538โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันเป็นหนังสือแม้โจทก์ได้วางมัดจำด้วยก็ถือว่าการวางมัดจำเป็นเพียงข้อสัญญาข้อหนึ่งเท่านั้นหาใช่ทำสัญญากันด้วยการวางมัดจำไม่เมื่อตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินไม่มีข้อความตอนใดระบุให้จำเลยจะต้องจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทหรือทางเข้าออกแก่โจทก์ ณ สำนักงานที่ดินอำเภอเมืองลพบุรีในวันที่ 1กุมภาพันธ์ 2534 ดังนั้น การที่โจทก์นำสืบถึงข้อความเพิ่มเติมนอกจากที่ระบุไว้ในสัญญา โดยอ้างว่าโจทก์จำเลยตกลงโอนที่ดินกันภายใน 3 เดือน ซึ่งตรงกับวันที่ 1กุมภาพันธ์ 2534 แต่ผู้เขียนสัญญาลืมเขียนข้อความระบุวันนัดโอนนั้น เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมข้อความในเอกสารสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ดังนั้นแม้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยไม่ไปสำนักงานที่ดินเพื่อจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทพร้อมทางเข้าออกให้โจทก์ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญา ก่อนที่โจทก์จะบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2534 เร่งรัดให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาและ ขอคำยืนยันจากจำเลยภายในวันที่ 29 มีนาคม 2534 ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้มีหนังสือชี้แจงให้โจทก์ทราบว่าสามารถโอนที่ดินตามสัญญาให้โจทก์ได้หรือไม่ ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2534 โจทก์ขอให้จำเลยโอนที่ดินในวันที่ 19 กันยายน 2534 เวลา 13.30 นาฬิกา จำเลยได้รับหนังสือ ของโจทก์แล้ว แม้ว่าหนังสือของโจทก์ครั้งที่สองแจ้งให้จำเลย โอนที่ดินในระยะกระชั้นชิด แต่หนังสือของโจทก์ครั้งแรก ที่เร่งรัดให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจนถึงวันที่โจทก์บอกกล่าวในครั้งที่สองเป็นเวลาห่างกันถึง 6 เดือน จำเลยกลับเพิกเฉยไม่ได้ดำเนินการอย่างใดเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินสำหรับเป็นทางเข้าออกจากที่ดินพิพาทเชื่อมถนนสาธารณะ ซึ่งได้ความว่าเจ้าของที่ดินได้ขอรับวัดแบ่งแยกที่ดินแล้วเสร็จ และเจ้าของที่ดินข้างเคียงได้ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่ใช้ทำเป็นทางเข้าออกเมื่อวันที่15 ตุลาคม 2534 การที่จำเลยกลับมีหนังสือถึงโจทก์ลงวันที่ 26 กันยายน 2534 อ้างว่า จำเลยพร้อมที่จะโอนที่ดินตามสัญญาให้โจทก์ และให้โจทก์ชำระราคาที่ดินที่เหลือณ สำนักงานที่ดินในวันที่ 11 ตุลาคม 2534 เวลา 10 นาฬิกานั้นปรากฏว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รังวัดแบ่งแยกที่ดินเสร็จและออกหนังสือ น.ส.3 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2534ถ้าหากโจทก์ไปสำนักงานที่ดินอำเภอเมืองลพบุรีในวันที่ 11 ตุลาคม 2534 ตามที่จำเลยนัดหมาย โจทก์ก็ไม่สามารถ รับโอนที่ดินตามสัญญาจากจำเลยได้ และการที่จำเลยไม่สามารถจัดซื้อที่ดินสำหรับเป็นทางเข้าออกตามสัญญาได้ แต่จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ลงวันที่ 26 กันยายน 2534 นัดโอนที่ดินกันจึงเป็นการประวิงการปฏิบัติตามสัญญาโดยไม่ได้คำนึงว่าจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินพิพาทพร้อมทางเข้าออกให้โจทก์ตามสัญญาได้ จำเลยย่อมเป็นฝ่ายผิดสัญญาอยู่นั่นเองดังนั้นการที่โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยให้จำเลยโอนที่ดินในวันที่ 19 กันยายน 2534 เป็นการกำหนดระยะเวลาให้จำเลยชำระหนี้ภายในเวลาพอสมควรแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้จึงถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาและต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยแจ้งว่าจำเลยผิดสัญญาขอให้คืนเงินมัดจำ 480,000 บาท และชำระเบี้ยปรับ 960,000 บาท ภายในกำหนด 7 วัน หากพ้นกำหนดจะดำเนินคดีต่อไป ซึ่งจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วจึงเป็นกรณีที่ถือว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาต่อจำเลยแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 387 ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายหนึ่งจะกำหนดระยะเวลาพอสมควร แล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายนั้นชำระหนี้ภายในระยะเวลานั้นก็ได้ ถ้าและฝ่ายนั้นไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ไซร้ อีกฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาเสียก็ได้ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

บอกเลิกสัญญาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7433/2538โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันเป็นหนังสือแม้โจทก์ได้วางมัดจำด้วยก็ถือว่าการวางมัดจำเป็นเพียงข้อสัญญาข้อหนึ่งเท่านั้นหาใช่ทำสัญญากันด้วยการวางมัดจำไม่เมื่อตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินไม่มีข้อความตอนใดระบุให้จำเลยจะต้องจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทหรือทางเข้าออกแก่โจทก์ ณ สำนักงานที่ดินอำเภอเมืองลพบุรีในวันที่ 1กุมภาพันธ์ 2534 ดังนั้น การที่โจทก์นำสืบถึงข้อความเพิ่มเติมนอกจากที่ระบุไว้ในสัญญา โดยอ้างว่าโจทก์จำเลยตกลงโอนที่ดินกันภายใน 3 เดือน ซึ่งตรงกับวันที่ 1กุมภาพันธ์ 2534 แต่ผู้เขียนสัญญาลืมเขียนข้อความระบุวันนัดโอนนั้น เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมข้อความในเอกสารสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ดังนั้นแม้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยไม่ไปสำนักงานที่ดินเพื่อจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทพร้อมทางเข้าออกให้โจทก์ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญา ก่อนที่โจทก์จะบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2534 เร่งรัดให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาและ ขอคำยืนยันจากจำเลยภายในวันที่ 29 มีนาคม 2534 ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้มีหนังสือชี้แจงให้โจทก์ทราบว่าสามารถโอนที่ดินตามสัญญาให้โจทก์ได้หรือไม่ ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2534 โจทก์ขอให้จำเลยโอนที่ดินในวันที่ 19 กันยายน 2534 เวลา 13.30 นาฬิกา จำเลยได้รับหนังสือ ของโจทก์แล้ว แม้ว่าหนังสือของโจทก์ครั้งที่สองแจ้งให้จำเลย โอนที่ดินในระยะกระชั้นชิด แต่หนังสือของโจทก์ครั้งแรก ที่เร่งรัดให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจนถึงวันที่โจทก์บอกกล่าวในครั้งที่สองเป็นเวลาห่างกันถึง 6 เดือน จำเลยกลับเพิกเฉยไม่ได้ดำเนินการอย่างใดเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินสำหรับเป็นทางเข้าออกจากที่ดินพิพาทเชื่อมถนนสาธารณะ ซึ่งได้ความว่าเจ้าของที่ดินได้ขอรับวัดแบ่งแยกที่ดินแล้วเสร็จ และเจ้าของที่ดินข้างเคียงได้ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่ใช้ทำเป็นทางเข้าออกเมื่อวันที่15 ตุลาคม 2534 การที่จำเลยกลับมีหนังสือถึงโจทก์ลงวันที่ 26 กันยายน 2534 อ้างว่า จำเลยพร้อมที่จะโอนที่ดินตามสัญญาให้โจทก์ และให้โจทก์ชำระราคาที่ดินที่เหลือณ สำนักงานที่ดินในวันที่ 11 ตุลาคม 2534 เวลา 10 นาฬิกานั้นปรากฏว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รังวัดแบ่งแยกที่ดินเสร็จและออกหนังสือ น.ส.3 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2534ถ้าหากโจทก์ไปสำนักงานที่ดินอำเภอเมืองลพบุรีในวันที่ 11 ตุลาคม 2534 ตามที่จำเลยนัดหมาย โจทก์ก็ไม่สามารถ รับโอนที่ดินตามสัญญาจากจำเลยได้ และการที่จำเลยไม่สามารถจัดซื้อที่ดินสำหรับเป็นทางเข้าออกตามสัญญาได้ แต่จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ลงวันที่ 26 กันยายน 2534 นัดโอนที่ดินกันจึงเป็นการประวิงการปฏิบัติตามสัญญาโดยไม่ได้คำนึงว่าจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินพิพาทพร้อมทางเข้าออกให้โจทก์ตามสัญญาได้ จำเลยย่อมเป็นฝ่ายผิดสัญญาอยู่นั่นเองดังนั้นการที่โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยให้จำเลยโอนที่ดินในวันที่ 19 กันยายน 2534 เป็นการกำหนดระยะเวลาให้จำเลยชำระหนี้ภายในเวลาพอสมควรแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้จึงถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาและต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยแจ้งว่าจำเลยผิดสัญญาขอให้คืนเงินมัดจำ 480,000 บาท และชำระเบี้ยปรับ 960,000 บาท ภายในกำหนด 7 วัน หากพ้นกำหนดจะดำเนินคดีต่อไป ซึ่งจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วจึงเป็นกรณีที่ถือว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาต่อจำเลยแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 387 ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายหนึ่งจะกำหนดระยะเวลาพอสมควร แล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายนั้นชำระหนี้ภายในระยะเวลานั้นก็ได้ ถ้าและฝ่ายนั้นไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ไซร้ อีกฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาเสียก็ได้ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

บอกเลิกสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7433/2538
โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันเป็นหนังสือแม้โจทก์ได้วางมัดจำด้วยก็ถือว่าการวางมัดจำเป็นเพียงข้อสัญญาข้อหนึ่งเท่านั้นหาใช่ทำสัญญากันด้วยการวางมัดจำไม่เมื่อตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินไม่มีข้อความตอนใดระบุให้จำเลยจะต้องจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทหรือทางเข้าออกแก่โจทก์ ณ สำนักงานที่ดินอำเภอเมืองลพบุรีในวันที่ 1กุมภาพันธ์ 2534 ดังนั้น การที่โจทก์นำสืบถึงข้อความเพิ่มเติมนอกจากที่ระบุไว้ในสัญญา โดยอ้างว่าโจทก์จำเลยตกลงโอนที่ดินกันภายใน 3 เดือน ซึ่งตรงกับวันที่ 1กุมภาพันธ์ 2534 แต่ผู้เขียนสัญญาลืมเขียนข้อความระบุวันนัดโอนนั้น เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมข้อความในเอกสารสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ดังนั้นแม้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยไม่ไปสำนักงานที่ดินเพื่อจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทพร้อมทางเข้าออกให้โจทก์ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญา ก่อนที่โจทก์จะบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2534 เร่งรัดให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาและ ขอคำยืนยันจากจำเลยภายในวันที่ 29 มีนาคม 2534 ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้มีหนังสือชี้แจงให้โจทก์ทราบว่าสามารถโอนที่ดินตามสัญญาให้โจทก์ได้หรือไม่ ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2534 โจทก์ขอให้จำเลยโอนที่ดินในวันที่ 19 กันยายน 2534 เวลา 13.30 นาฬิกา จำเลยได้รับหนังสือ ของโจทก์แล้ว แม้ว่าหนังสือของโจทก์ครั้งที่สองแจ้งให้จำเลย โอนที่ดินในระยะกระชั้นชิด แต่หนังสือของโจทก์ครั้งแรก ที่เร่งรัดให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจนถึงวันที่โจทก์บอกกล่าวในครั้งที่สองเป็นเวลาห่างกันถึง 6 เดือน จำเลยกลับเพิกเฉยไม่ได้ดำเนินการอย่างใดเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินสำหรับเป็นทางเข้าออกจากที่ดินพิพาทเชื่อมถนนสาธารณะ ซึ่งได้ความว่าเจ้าของที่ดินได้ขอรับวัดแบ่งแยกที่ดินแล้วเสร็จ และเจ้าของที่ดินข้างเคียงได้ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่ใช้ทำเป็นทางเข้าออกเมื่อวันที่15 ตุลาคม 2534 การที่จำเลยกลับมีหนังสือถึงโจทก์ลงวันที่ 26 กันยายน 2534 อ้างว่า จำเลยพร้อมที่จะโอนที่ดินตามสัญญาให้โจทก์ และให้โจทก์ชำระราคาที่ดินที่เหลือณ สำนักงานที่ดินในวันที่ 11 ตุลาคม 2534 เวลา 10 นาฬิกานั้นปรากฏว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รังวัดแบ่งแยกที่ดินเสร็จและออกหนังสือ น.ส.3 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2534ถ้าหากโจทก์ไปสำนักงานที่ดินอำเภอเมืองลพบุรีในวันที่ 11 ตุลาคม 2534 ตามที่จำเลยนัดหมาย โจทก์ก็ไม่สามารถ รับโอนที่ดินตามสัญญาจากจำเลยได้ และการที่จำเลยไม่สามารถจัดซื้อที่ดินสำหรับเป็นทางเข้าออกตามสัญญาได้ แต่จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ลงวันที่ 26 กันยายน 2534 นัดโอนที่ดินกันจึงเป็นการประวิงการปฏิบัติตามสัญญาโดยไม่ได้คำนึงว่าจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินพิพาทพร้อมทางเข้าออกให้โจทก์ตามสัญญาได้ จำเลยย่อมเป็นฝ่ายผิดสัญญาอยู่นั่นเองดังนั้นการที่โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยให้จำเลยโอนที่ดินในวันที่ 19 กันยายน 2534 เป็นการกำหนดระยะเวลาให้จำเลยชำระหนี้ภายในเวลาพอสมควรแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้จึงถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาและต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยแจ้งว่าจำเลยผิดสัญญาขอให้คืนเงินมัดจำ 480,000 บาท และชำระเบี้ยปรับ 960,000 บาท ภายในกำหนด 7 วัน หากพ้นกำหนดจะดำเนินคดีต่อไป ซึ่งจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วจึงเป็นกรณีที่ถือว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาต่อจำเลยแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 387 ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายหนึ่งจะกำหนดระยะเวลาพอสมควร แล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายนั้นชำระหนี้ภายในระยะเวลานั้นก็ได้ ถ้าและฝ่ายนั้นไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ไซร้ อีกฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาเสียก็ได้
ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

เมื่อผิดสัญญา คู่สัญญาอีกฝั่ง ย่อมมีอำนาจฟ้องคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1940/2520สำนักงาน ก.พ. โจทก์ที่ 1 ซึ่งมีอำนาจหน้าที่จัดการควบคุมการศึกษาของนักเรียนฝ่ายพลเรือนที่ศึกษาอยู่ในต่างประเทศ ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ผู้รับทุน โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน เรื่องการรับทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อในต่างประเทศตามความต้องการของกรมไปรษณีย์โทรเลขของโจทก์ที่ 2 ตามสัญญาการรับทุนนั้น เห็นได้ว่าเป็นเรื่องกระทำตามอำนาจหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 มิใช่กระทำในฐานะตัวแทนโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 1 กับจำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาต่อกัน เมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ที่ 1 ย่อมมีอำนาจฟ้องตามข้อบังคับของ ก.พ. กำหนดให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนักเรียนทุนในความดูแลของรัฐบาล ต้องรักษาชื่อเสียงมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานพยายามลักทรัพย์จนถูกศาลอาญาแห่งประเทศฝรั่งเศสพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับ ย่อมถือว่าเป็นเรื่องผิดวินัยของ ก.พ. อันเป็นการผิดสัญญาที่ได้กระทำไว้แล้ว ต้องรับผิดชดใช้เงินทุนและเบี้ยปรับเงินทุนและเบี้ยปรับเป็นหนี้เงิน โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดได้ตามกฎหมายทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

เมื่อผิดสัญญา คู่สัญญาอีกฝั่ง ย่อมมีอำนาจฟ้องคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1940/2520สำนักงาน ก.พ. โจทก์ที่ 1 ซึ่งมีอำนาจหน้าที่จัดการควบคุมการศึกษาของนักเรียนฝ่ายพลเรือนที่ศึกษาอยู่ในต่างประเทศ ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ผู้รับทุน โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน เรื่องการรับทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อในต่างประเทศตามความต้องการของกรมไปรษณีย์โทรเลขของโจทก์ที่ 2 ตามสัญญาการรับทุนนั้น เห็นได้ว่าเป็นเรื่องกระทำตามอำนาจหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 มิใช่กระทำในฐานะตัวแทนโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 1 กับจำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาต่อกัน เมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ที่ 1 ย่อมมีอำนาจฟ้องตามข้อบังคับของ ก.พ. กำหนดให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนักเรียนทุนในความดูแลของรัฐบาล ต้องรักษาชื่อเสียงมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานพยายามลักทรัพย์จนถูกศาลอาญาแห่งประเทศฝรั่งเศสพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับ ย่อมถือว่าเป็นเรื่องผิดวินัยของ ก.พ. อันเป็นการผิดสัญญาที่ได้กระทำไว้แล้ว ต้องรับผิดชดใช้เงินทุนและเบี้ยปรับเงินทุนและเบี้ยปรับเป็นหนี้เงิน โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดได้ตามกฎหมายทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

เมื่อผิดสัญญา คู่สัญญาอีกฝั่ง ย่อมมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1940/2520
สำนักงาน ก.พ. โจทก์ที่ 1 ซึ่งมีอำนาจหน้าที่จัดการควบคุมการศึกษาของนักเรียนฝ่ายพลเรือนที่ศึกษาอยู่ในต่างประเทศ ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ผู้รับทุน โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน เรื่องการรับทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อในต่างประเทศตามความต้องการของกรมไปรษณีย์โทรเลขของโจทก์ที่ 2 ตามสัญญาการรับทุนนั้น เห็นได้ว่าเป็นเรื่องกระทำตามอำนาจหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 มิใช่กระทำในฐานะตัวแทนโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 1 กับจำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาต่อกัน เมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ที่ 1 ย่อมมีอำนาจฟ้อง
ตามข้อบังคับของ ก.พ. กำหนดให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนักเรียนทุนในความดูแลของรัฐบาล ต้องรักษาชื่อเสียงมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานพยายามลักทรัพย์จนถูกศาลอาญาแห่งประเทศฝรั่งเศสพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับ ย่อมถือว่าเป็นเรื่องผิดวินัยของ ก.พ. อันเป็นการผิดสัญญาที่ได้กระทำไว้แล้ว ต้องรับผิดชดใช้เงินทุนและเบี้ยปรับ
เงินทุนและเบี้ยปรับเป็นหนี้เงิน โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดได้ตามกฎหมาย
ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์