by drsuthichai | Dec 10, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
ที่ดิน สปก. ขายไปแล้ว รับเงินไปแล้ว อ้างว่าเป็น โมฆะ ฟ้องขับไล่คนซื้อที่ดิน สปก. ให้ออกไปจากที่ดิน จะทำได้ไหม?
โดย…ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์ หรือ ทนายโทนี่
https://www.facebook.com/profile.php?id=61570145816740
ตอบ เดิม การซื้อขายที่ดิน ส.ป.ก.โดยส่งมอบการครอบครองให้แล้ว สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ (อ้างอิง จาก ฎีกาที่ 2293/2552 ) ต่อมาศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า ผู้ขายที่ดิน ส.ป.ก.ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11165/2558)
พระราชบัญญัติ การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 39 ห้ามไม่ให้ซื้อขาย หากซื้อขายก็ถือว่าเป็นโมฆะตามมาตรา 150 (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)
พระราชบัญญัติ การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518
มาตรา 39 ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะทำการแบ่งแยก หรือโอนสิทธิ ในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม หรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกร หรือ ส.ป.ก. เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ก าหนดในกฎกระทรวง
หากมีการซื้อขาย ก็จะถือว่าเป็นโมฆะตามมาตรา 150 (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)
“มาตรา 150” หรือ “ป.พ.พ. มาตรา 150 “ คือ หนึ่งในมาตราของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ “
ดังนั้น คนที่ซื้อก็ไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปเป็นเจ้าของที่ดินได้ แต่ในทางกลับกัน หากไม่มีการทำประโยชน์ในที่ดิน แปลงดังกล่าว ที่ดิน สปก.แปลงนั้นก็จะตกไปเป็นของ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือ สปก. และทาง. คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือ สปก. ก็จะนำไปจัดสรรให้แก่เกษตรกรรายใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2293/2552 กรณีโจทย์-จำเลย ทำสัญญาซื้อ – ขายที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเป็นนิติกรรมที่เป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11165/2558 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2558)
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน และเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์เป็นผู้รับสิทธิทำประโยชน์ในที่ดินจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โจทก์ขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ ท. เมื่อปี 2546 แล้ว ท. สละการครอบครองให้จำเลยทั้งสองเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา แม้ก่อนฟ้องโจทก์กับ ท. ได้ทำบันทึกข้อตกลงว่าโจทก์จะคืนเงินให้แก่ ท. 110,000 บาท และ ท. จะคืนที่ดินพิพาทให้โจทก์ แต่โจทก์ก็มิได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้แก่ ท. แต่อย่างใด การที่โจทก์กลับมาอ้างเป็นผู้มีสิทธิตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4 – 01 ก.) และมาฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิจาก ท. จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท
สำหรับประเด็น ที่ดินพิพาทที่มีปัญหา ก็เป็นเรื่องที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ต่อไป
#image_title
by drsuthichai | Dec 8, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
พูดเรื่องจริง จะฟ้องหมิ่นประมาทคนพูดได้หรือไม่
คำตอบ คือ ถึงแม้จะพูดเรื่องจริง ก็สามารถฟ้องหมิ่นประมาทได้(มาตรา 326) แต่ก็มีหลักกฎหมายที่ระบุว่า ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท(มาตรา 329) หรือ
มีข้อยกเว้นเที่ไม่ต้องรับโทษ (มาตรา 330 )
โดย….ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์ (ทนายโทนี่)
https://www.facebook.com/profile.php?id=61570145816740
ตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดฐานหมิ่นประมาท
มาตรา ๓๒๖ ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม ( คำว่า “ใส่ความ” ตามภาษากฎหมาย คือ การพูดเรื่องอะไรก็ได้ที่ทำให้คนอื่นหรือผู้อื่นฟังแล้วเกิดความเสียหายกับผู้นั้น แม้จะเป็นเรื่องจริงก็ตาม)
แต่ก็มีหลักกฎหมายตามมาตรา 329 ที่ระบุว่า ผู้ที่ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ได้แก่บุคคลที่ซึ่งบัญญัติไว้ตามมาตรา 329 คือ
มาตรา 329 ประมวลกฎหมายอาญา คือ ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต
(๑) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม
(๒) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่
(๓) ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือ
(๔) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม
ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท “
สำหรับหลักกฎหมาย ที่ได้รับการยกเว้นที่ไม่ต้องรับโทษ (มาตรา 330 )
มาตรา 330 ประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำความผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
สรุปอีกครั้ง คือ
พูดเรื่องจริง จะฟ้องหมิ่นประมาทคนพูดได้หรือไม่
คำตอบ คือ ถึงแม้จะพูดเรื่องจริง ก็สามารถฟ้องหมิ่นประมาทได้(มาตรา 326) แต่ก็มีหลักกฎหมายที่ระบุว่า ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท(มาตรา 329) หรือ มีข้อยกเว้นเที่ไม่ต้องรับโทษ (มาตรา 330 )
#image_title
by drsuthichai | Dec 8, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
เพียงคิดเป็นภาพความสำเร็จก็มีขึ้น
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
นักประดิษฐ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสองพี่น้องตระกูลไรท์ที่คิดค้นเครื่องบินขึ้นมาได้ โทมัส เอดิสันที่คิดค้นหลอดไฟฟ้าขึ้นมาได้ สตีฟ จอบส์ ที่คิดค้นแอปเปิลคอมพิวเตอร์และสินค้าอื่นๆของบริษัท ก่อนที่เขาเหล่านี้จะประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาได้ พวกเขาจะต้องมีภาพของสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ขึ้นมาภายในใจก่อน
การคิดเป็นภาพจึงมีความสำคัญต่อความสำเร็จ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ถึงกับกล่าวว่า “ จินตนาการมีความสำคัญกว่าความรู้ ” หรือ นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส เรเน่ เดสการตส์ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังได้กล่าวว่า “ ฉันคิด ดังนั้นฉันจึงเป็น ” ซึ่งก็ถือว่ามีความเป็นจริงอย่างยิ่ง เพราะเคยมีการวิจัยว่า คนธรรมดามักจะคิดเป็นคำ แต่อัจฉริยะมักคิดเป็นภาพ จึงไม่เป็นที่แปลกใจว่าในยุคปัจจุบันเรามักจะเห็น ผู้ที่สร้างเครื่องมือต่างๆ โดยสร้างให้เป็นแผนภาพ แผนภูมิ แผนภาพใยแมงมุม Mind Map เป็นต้น
– Mind Map เป็นตัวอย่างได้อย่างดีในการอธิบายในเรื่องนี้ Mind Map คิดค้นโดย โทนี่ บูซาน เป็นเครื่องมือในการจัดหมวดหมู่ เชื่อมโยงคำต่างๆ ให้เป็นภาพ เพื่อให้ง่ายต่อความจำ ซึ่งประโยชน์ของ Mind Map มีมากมาย เช่น ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเรียน สนุกสนานไม่เบื่อ ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ง่ายขึ้น ฯลฯ
การคิดเป็นภาพจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จ ในการฝึกอบรม ในการ
สัมมนา เกี่ยวกับเรื่องของความสำเร็จ ผมมักแนะนำผู้รับการอบรม หรือ ผู้ที่สัมมนา ให้ฝึกคิดเป็นภาพหรือฝึกจินตนาการทุกๆวัน เกี่ยวกับเรื่องของเป้าหมายหรือความฝันของตนเอง เวลาที่เหมาะสมคือ ช่วงที่คุณกำลังเพลินกับการอาบน้ำ ช่วงนั่งรถไปทำงานและก่อนนอนหลับตอนกลางคืน อีกทั้งยังแนะนำเพิ่มเติมให้ติดภาพของเป้าหมายหรือความฝันที่ต้องการติดตามห้องนอน ห้องทำงาน เพื่อที่จะได้จดจำได้ง่ายขึ้น เช่น นำภาพบ้านที่ต้องการ , รถยนต์ที่ต้องการ , จำนวนเงินที่ต้องการ และสิ่งต่างๆที่ต้องการติดตามสถานที่ต่างๆ ที่ทำให้เราเห็นอยู่เสมอ
เคยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ได้นำเอานักเทนนิสโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งซ้อมจริง กลุ่มที่สองไม่ต้องซ้อมเลย และกลุ่มที่สามซ้อมจากจินตนาการไม่มีการซ้อมจริง ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ซ้อมจริงฝีมือออกมาปกติคงที่ กลุ่มที่สอง ไม่มีการซ้อมเลย ฝีมือแย่ลง และกลุ่มที่สาม ที่ซ้อมจากจินตนาการไม่มีการซ้อมจริงผลปรากฏว่า มีฝีมือออกมาปกติคงที่ เช่นเดียวกับกลุ่มที่หนึ่ง ดังนั้นการฝึกซ้อมโดยคิดเป็นภาพหรือการซ้อมจากจินตนาการมีความสำคัญเพราะ สมองมักแยกไม่ออกระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องในจินตนาการ
หากว่าคุณต้องการประสบความสำเร็จในด้านใด ไม่ว่าต้องการเป็นนักพูด นักร้อง นักดนตรี นักแสดง นักขาย ฯลฯ ลองฝึกคิดให้เป็นภาพหรือจินตนาการดู เช่น หากว่าคุณปรารถนาอยากเป็นนักพูด จงฝึกคิดเป็นภาพหรือจินตนาการว่า คุณกำลังขึ้นไปพูดบนเวทีพูดต่อหน้าที่ชุมชนกับผู้คนจำนวนมากมายหลายพันคน ถามว่าทำไมต้องจินตนาการว่ามีหลายพันคน เพราะถ้าหากคุณคิดเป็นภาพหรือจินตนาการว่ามีคนมาฟังแค่สิบยี่สิบคน แล้วถ้าหากคุณไปพูดจริงๆ มีคนฟังเป็นร้อยคนคุณจะรู้สึกตื่นเต้นเนื่องจากมีคนมาก ไหนๆจะคิดเป็นภาพหรือจินตนาการทั้งทีควรฝึกคิดเป็นภาพหรือจินตนาการให้ใหญ่ไปเลย จินตนาการว่ามีคนมาฟัง หลายพันคน ถ้าเกิดในอนาคตมีคนมาฟังแค่ร้อยสองร้อยคนคุณจะรู้สึกมีความประหม่าน้อยลง เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าหากว่าท่านปรารถนาความสำเร็จ การฝึกคิดเป็นภาพหรือฝึกการจินตนาการจึงเป็นสิ่งที่ท่านควรฝึกฝนทุกๆวัน ฝึกให้เป็นนิสัยโดยการจัดเวลาในการฝึกคิดเป็นภาพหรือจินตนาการ ผู้ประสบความสำเร็จจำนวนมากใช้เทคนิคนี้แล้วได้ผล ไม่ว่าจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จในประวัติศาสตร์หรือในยุคปัจจุบัน
#image_title
by drsuthichai | Dec 8, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ, ออนไลน์น่ารู้
ความรักก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้
ซึ่งต้องการการเติบโต การดูแล เอาใจใส่
ยอมรับทุกด้านของคนรัก
ไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้านเสีย
รวมทั้งข้อบกพร่องหรือความไม่สมบูรณ์แบบของกันและกัน
หากว่าใครหรือว่าผู้ใด เริ่มต้นที่ความหลงใหลในความรัก
เมื่อวันใดที่ “รักไม่หวาน” หรือชีวิตต้องพบกับความยากลำบาก
ในวันนั้นก็จะเป็นวันที่พิสูจน์ซึ่ง “ ความรักแท้ ”
โดย…อาจารย์โทนี่ (สุทธิชัย ปัญญโรจน์)
www.drsuthichai.com
#image_title
by drsuthichai | Dec 7, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
เจอที่ดินของผู้อื่น หรือเจอที่ดินรกร้างว่างเปล่า
แล้วล้อมรั้วเพื่อที่จะเอามาเป็นของตนเองครบ 10 ปี
จะได้กรรมสิทธิ์ โดยครอบครองปรปักษ์หรือไม่
ตอบ ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์
โดย…ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์(ทนายโทนี่)
อ้างอิงตาม คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 486/2542 ที่ดินพิพาท มีลูกจ้างไปทำรั้วลวดหนามเพื่อแสดงอาณาเขตที่ดิน ไม่มีการรังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดิน ทั้งสภาพที่ดินพิพาทก็เป็นที่ดินว่างเปล่ามีหญ้าขึ้นรกปกคลุมแนวรั้ว ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใด ๆและไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์อย่างจริงจัง แสดงว่าจำเลยไม่ได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ แม้จำเลยจะทำรั้วรุกล้ำเข้าไปในที่ดินพิพาทของโจทก์ติดต่อกันนานเกินกว่า 10 ปี แล้วก็ตาม จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 486/2542
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสร้างรั้วลวดหนามรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์เป็นเนื้อที่ 1 ไร่ 21 ตารางวา และโจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกเป็นคดีอาญาว่าจำเลยกับพวกร่วมกันสร้างรั้วลวดหนามบุกรุกเข้าไปในที่ดินโจทก์เป็นเนื้อที่ 1 ไร่21 ตารางวา เมื่อคดีนี้และคดีอาญาดังกล่าวเป็นมูลกรณีเดียวกัน คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว ซึ่งตาม ป.วิ.อ.มาตรา 46 ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา และเหตุที่จำเลยยกปัญหาเรื่องให้ถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์เนื่องจากจำเลยไม่สามารถยกปัญหาดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างในศาลชั้นต้นได้เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225 วรรคสอง
แม้คดีนี้ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่ฟังว่า จำเลยได้สร้างรั้วลวดหนามรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์เป็นเนื้อที่1 ไร่ 21 ตารางวา ตั้งแต่ปี 2524 เกินกว่า 10 ปี แล้วก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาคงรับฟังเป็นยุติได้แต่เพียงว่า จำเลยได้สร้างรั้วลวดหนามรุกล้ำเข้ามาในที่ดินพิพาทจริงเท่านั้น แต่การครอบครองที่ดินของผู้อื่นจนได้กรรมสิทธิ์จะต้องเป็นการครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ พฤติการณ์ที่จำเลยเข้าไปล้อมรั้วลวดหนามในที่ดินพิพาท ก็เพราะจำเลยซื้อที่ดินซึ่งอยู่ติดกันและเป็นที่ดินแปลงใหญ่มาเพื่อขยายโรงงาน และที่ดินดังกล่าวมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอีก 12 คน ภายหลังต่อมาจำเลยจึงได้ฟ้องคดีเพื่อแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม ในขณะที่จำเลยให้ลูกจ้างไปทำรั้วลวดหนามเพื่อแสดงอาณาเขตที่ดิน ก็ไม่มีการรังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดินก่อน โดยจำเลยเข้าใจตลอดมาว่าแนวรั้วลวดหนามตรงตามแนวเขตที่ดิน ไม่ได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ ทั้งสภาพที่ดินพิพาทก็เป็นที่ดินว่างเปล่ามีหญ้าขึ้นรกปกคลุมแนวรั้ว ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใด ๆและไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์อย่างจริงจัง แสดงว่าจำเลยไม่ได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ แม้จำเลยจะทำรั้วรุกล้ำเข้าไปในที่ดินพิพาทของโจทก์ติดต่อกันนานเกินกว่า 10 ปี แล้วก็ตาม จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
โจทก์อ้างส่งเอกสารต่อศาลภายหลังสืบพยานจำเลยซึ่งนำสืบก่อนเสร็จสิ้นไปแล้ว ซึ่ง ป.วิ.พ.มาตรา 89 วรรคสอง บัญญัติให้คู่ความฝ่ายที่สืบพยานก่อนชอบที่จะคัดค้านไว้ แล้วให้ศาลปฏิเสธไม่ยอมรับฟังคำพยานเช่นว่ามานั้น แต่คดีนี้ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้โต้แย้งข้อนำสืบของโจทก์ไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา หรือจำเลยยื่นคำแถลงโต้แย้งไว้ในสำนวน สำหรับคำแถลงคัดค้านของจำเลยก็เป็นการคัดค้านคำร้องของโจทก์ที่ขออนุญาตระบุเพิ่มเติม มิใช่เป็นคำแถลงโต้แย้งกรณีตามบทมาตรา 89 วรรคสอง กรณีจึงไม่ต้องห้ามที่จะให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าวที่โจทก์นำสืบนั้น
#image_title
by drsuthichai | Dec 5, 2024 | การศึกษา, ทั่วไป อื่นๆ
ครอบครองปรปักษ์ โดย…ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์(ทนายโทนี่)
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์ ในทางปฏิบัติ แม้จะเข้าองค์ประกอบตามมาตรา 1382 กำหนดแล้ว ก็ไม่ใช่จะได้มาได้โดยง่ายเพราะบุคคลที่อ้างการครอบครองปรปักษ์ที่ดินนั้น จะต้องดำเนินการ จ้างทนายความ พร้อมแสดงหลักฐาน ”ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์”
ก่อนศาลจะพิจารณาหรือมีคำสั่ง จะต้องกระบวนการต่างๆ โดยศาลจะมีหมายส่งไปยังเจ้าของที่ดิน ที่มีชื่อในกรรมสิทธิ์(โฉนด)ดังกล่าว เพื่อให้มาแสดงตนในการ “คัดค้าน”และศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ที่ครองครองกล่าวอ้างการครอบครองปรปักษ์ดำเนินการเกี่ยวกับการรังวัดที่ดินพิพาท และนำหลักฐานอื่นๆมาแสดงเช่น พยานบุคคล,ภาพถ่ายที่ดินที่ได้ครอบครอง,แผนที่ที่ดิน ฯลฯ เพื่อประกอบการพิจารณาในศาลด้วย
ในกรณีไม่มีผู้คัดค้านหรือเจ้าของที่ดินมาแสดงตน ศาลอาจจะมีคำสั่งให้บุคคลผู้ครอบครองที่ดินนั้นได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ และผู้ครอบครองนั้นจะต้องนำคำสั่งศาลไปติดต่อกรมที่ดินหรือสำนักงานที่ดินจังหวัด เพื่อขอเปลี่ยนแปลงชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวได้
#image_title