ตัวอย่างเช่น สมมติเทรดเดอร์มีบัญชีเทรดเงินทุน 10,000 ดอลลาร์ และใช้เลเวอเรจ 1:100 หากเขาเปิดสถานะ Buy EUR/USD มูลค่า 100,000 ดอลลาร์ ที่ระดับราคา 1.2000 ด้วยเงินหลักประกัน 1,000 ดอลลาร์

  • หากราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ เช่น ปรับขึ้นไปที่ระดับ 1.2020 เทรดเดอร์จะได้กำไร 20 Pips หรือ 200 ดอลลาร์ (คำนวณจาก 20 Pips x 10 ดอลลาร์ ต่อ 1 Pip ที่เลเวอเรจ 1:100) ซึ่งคิดเป็น 20% ของเงินหลักประกัน
  • แต่ในทางตรงกันข้าม หากราคาร่วงลงมาที่ 1.1980 เทรดเดอร์จะขาดทุน 20 Pips หรือ 200 ดอลลาร์ หากไม่มีการตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ และปล่อยให้สถานะขาดทุนลากยาว การขาดทุนอาจพอกพูนจนเกินเงินหลักประกัน และทำให้บัญชีติดลบได้

ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนที่ใช้เลเวอเรจควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเสมอ และใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เช่น

  1. การเลือกอัตราเลเวอเรจที่เหมาะกับเงินทุน ประสบการณ์ และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเอง โดยไม่ควรใช้เลเวอเรจเกิน 1:30 สำหรับมือใหม่
  2. การวางแผนการเทรดและกำหนดอัตราส่วนการเสี่ยง (Risk-Reward Ratio) ให้ชัดเจน เช่น ต้องการกำไร 2-3 เท่าของจุดตัดขาดทุน
  3. การตั้งระดับจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่เหมาะสม เพื่อจำกัดความเสี่ยงในแต่ละสถานะ
  4. การใช้ Position Sizing หรือการปรับขนาดสถานะให้เหมาะสมกับเงินทุนและความเสี่ยงในแต่ละครั้ง โดยเสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนต่อสถานะ
  5. การจัดสรรเงินทุนและกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ไม่ควรนำเงินทุนทั้งหมดมา เทรด forex เพียงอย่างเดียว