คําพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ดินชายตลิ่งที่ถูกน้ำเซาะพัง

คําพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ดินชายตลิ่งที่ถูกน้ำเซาะพัง

คําพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ดินชายตลิ่งที่ถูกน้ำเซาะพัง

คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๙๓/๒๕๒๓ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทยังเป็นของโจทก์
กับพวกอยู่ แม้น้ำจะเซาะที่ดินโจทก์กับพวกตรงที่พิพาทจนกลายสภาพเป็นที่ชายตลิ่งไปแล้วก็ตาม แต่โจทก์
กับพวกก็ยังใช้สิทธิเป็นเจ้าของโดยใช้เป็นทางเข้าออกอยู่ มิได้ทอดทิ้งให้เป็นที่สําหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ที่พิพาท จึงไม่เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน

ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

คําพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ดินชายตลิ่งที่ถูกน้ําเซาะพังคําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๑๕/๒๔๗๕ที่ดินที่ ถูกทางน้ําเซาะดินพัง แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นลําคลองสาธารณะ เจ้าของที่ดินยังมีกรรมสิทธิ์อยู่ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

คําพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ดินชายตลิ่งที่ถูกน้ําเซาะพังคําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๑๕/๒๔๗๕ที่ดินที่ ถูกทางน้ําเซาะดินพัง แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นลําคลองสาธารณะ เจ้าของที่ดินยังมีกรรมสิทธิ์อยู่ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

คําพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ดินชายตลิ่งที่ถูกน้ําเซาะพังคําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๑๕/๒๔๗๕ที่ดินที่ ถูกทางน้ําเซาะดินพัง แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นลําคลองสาธารณะ เจ้าของที่ดินยังมีกรรมสิทธิ์อยู่ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

ผู้ที่มีชื่อในทะเบียนที่ดินได้รับข้อสันนิษฐานว่า

ผู้ที่มีชื่อในทะเบียนที่ดินได้รับข้อสันนิษฐานว่า

ผู้ที่มีชื่อในทะเบียนที่ดินได้รับข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามกฎหมายดีกว่าคำพิพากษาฎีกาที่ 4679/2559 ที่ดินตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โจทก์ซื้อมาเมื่อปี 2535 ตามสารบัญจดทะเบียนในเอกสารดังกล่าวอันเป็นทะเบียนที่ดิน โจทก์จึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง จำเลยต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานนั้นทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

ผู้ตายเป็นหนี้โจทก์อยู่และถึงแก่ความตาย

ผู้ตายเป็นหนี้โจทก์อยู่และถึงแก่ความตาย

ผู้ตายเป็นหนี้โจทก์อยู่และถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายย่อมรับไปทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาฎีกาที่ 809 / 2545
โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของ ท. ผู้ตายให้ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองที่ ท. ได้จำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เงินกู้ไว้แม้โจทก์ฟ้องคดีหลังจาก ท. ถึงแก่ความตายไปเกิน 1 ปี คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคสามแล้ว แต่บทบัญญัติดังกล่าวยกเว้นมิให้ใช้บังคับในกรณีสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ตามมาตรา 193/27 แม้คดีขาดอายุความแล้ว ก็ยังยอมให้โจทก์ผู้รับจำนองใช้สิทธิบังคับเอาจากทรัพย์สินที่จำนองได้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของ ท. ให้ชำระหนี้โจทก์จากทรัพย์สินที่จำนองได้
โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจโดยทำเป็นหนังสือแก่ ร. ทนายโจทก์ให้บอกกล่าวบังคับจำนอง แต่เมื่อ ร. ได้บอกกล่าวบังคับจำนองในนามของโจทก์และโจทก์ยอมรับเอาการบอกกล่าวแล้ว ย่อมถือว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 823 และถือว่าโจทก์ได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยแล้ว

ท. ผู้ตายเป็นหนี้โจทก์อยู่และถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายย่อมรับไปทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่อโจทก์ โจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องเรียกร้องบังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมได้เท่าที่ไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกที่ได้รับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1601 ส่วนจำเลยจะได้รับมรดกของผู้ตาย และผู้ตายจะมีทรัพย์มรดกหรือไม่ เป็นเรื่องต้องว่ากันในชั้นบังคับคดี

การนำเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่น

การนำเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่น

การนำเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่น ว่าการกระทำความผิดอาญาศาลยกฟ้อง การกระทำนี้จะถือว่าเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จหรือไม่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6430/2560การที่จำเลยกับ อ. เข้าไปเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันไปขายได้เงิน 713,733 บาท จริง ซึ่งรายได้ดังกล่าวเป็นดอกผลของทรัพย์มรดกของผู้ตายที่ต้องแบ่งแก่ทายาททุกคนเท่าๆกัน แต่จำเลยกลับแบ่งให้โจทก์และ จ. ไม่เท่ากัน ส่วนที่เหลือจำเลยกับ อ. ได้ไปเกินกว่าส่วนแบ่งที่ตนควรจะได้รับ เมื่อฝ่ายโจทก์ทวงถาม ฝ่ายจำเลยกลับท้าให้โจทก์ฟ้อง พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกย่อมทำให้โจทก์เข้าใจได้ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันเบียดบังเอาเงินผลผลิตปาล์มน้ำมันไปเป็นของตนโดยทุจริต ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันยักยอกเงินผลผลิตปาล์มน้ำมันตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3573/2555 ของศาลชั้นต้น จึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลกล่าวหาจำเลยไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หาใช่โจทก์เอาความอันเป็นเท็จฟ้องจำเลยการที่จำเลยมาฟ้องโจทก์หาว่าโจทก์เอาความอันเป็นเท็จฟ้องจำเลย ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3893/2555 ของศาลชั้นต้น ทั้งที่รู้แล้วว่าเรื่องที่จำเลยนำมาฟ้องโจทก์เป็นความเท็จ จึงเป็นฟ้องเท็จตาม ป.อ. มาตรา 175 เมื่อจำเลยฟ้องเท็จแล้ว แม้ศาลจะยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จตามบทบัญญัติดังกล่าวอ้างอิง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175 ผู้ใดเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา หรือว่ากระทำความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นความจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาททนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

ทางสาธารณะมิได้จำกัดแต่เฉพาะทางบกเท่านั้น ทางน้ำก็เป็นทางสาธารณะได้ แม่น้ำเจ้าพระยาจึงถือว่าเป็นทางสาธารณะคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2567 ทางจำเป็นตาม ป.พ.พ.มาตรา 1349 เป็นการจำกัดหรือลิดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้อื่น จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัดแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ยังคงมีสภาพเป็นทางสาธารณะ แม้การสัญจรจะไม่สะดวกและไม่สอดคล้องกับความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองเท่าการสัญจรทางบกก็ไม่ทำให้สิ้นสภาพเป็นทางสาธารณะไป ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์(ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสี่เปิดทางพิพาทให้เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 ทางสาธารณะมิได้จำกัดแต่เฉพาะทางบกเท่านั้น ทางน้ำก็เป็นทางสาธารณะได้ และ พิพากษากลับให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่)

ทางสาธารณะมิได้จำกัดแต่เฉพาะทางบกเท่านั้น ทางน้ำก็เป็นทางสาธารณะได้ แม่น้ำเจ้าพระยาจึงถือว่าเป็นทางสาธารณะคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2567 ทางจำเป็นตาม ป.พ.พ.มาตรา 1349 เป็นการจำกัดหรือลิดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้อื่น จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัดแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ยังคงมีสภาพเป็นทางสาธารณะ แม้การสัญจรจะไม่สะดวกและไม่สอดคล้องกับความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองเท่าการสัญจรทางบกก็ไม่ทำให้สิ้นสภาพเป็นทางสาธารณะไป ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์(ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสี่เปิดทางพิพาทให้เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 ทางสาธารณะมิได้จำกัดแต่เฉพาะทางบกเท่านั้น ทางน้ำก็เป็นทางสาธารณะได้ และ พิพากษากลับให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่)

ทางสาธารณะมิได้จำกัดแต่เฉพาะทางบกเท่านั้น ทางน้ำก็เป็นทางสาธารณะได้ แม่น้ำเจ้าพระยาจึงถือว่าเป็นทางสาธารณะคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2567 ทางจำเป็นตาม ป.พ.พ.มาตรา 1349 เป็นการจำกัดหรือลิดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้อื่น จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัดแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ยังคงมีสภาพเป็นทางสาธารณะ แม้การสัญจรจะไม่สะดวกและไม่สอดคล้องกับความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองเท่าการสัญจรทางบกก็ไม่ทำให้สิ้นสภาพเป็นทางสาธารณะไป ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์(ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสี่เปิดทางพิพาทให้เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 ทางสาธารณะมิได้จำกัดแต่เฉพาะทางบกเท่านั้น ทางน้ำก็เป็นทางสาธารณะได้ และ พิพากษากลับให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่)

หากผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สิน  ผู้รับจำนองต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนด้วยตามเงื่อนไขใน ป.พ.พ. มาตรา 728 วรรคหนึ่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5226/2567 (หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 728, 735)โจทก์มิได้ฟ้องบริษัท อ. ลูกหนี้ผู้กู้ยืมเงินเป็นจำเลย และแม้โจทก์จะฟ้อง ช. เป็นจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ก็ฟ้องในฐานะที่ ช. เป็นทายาทโดยธรรมของ ส. ผู้ค้ำประกันและผู้จำนองอีกคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ฟ้อง ช. เป็นจำเลยในฐานะผู้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 82147 เมื่อผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สินซึ่งจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 735 ผู้รับจำนองต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนด้วยตามเงื่อนไขใน ป.พ.พ. มาตรา 728 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์มิได้บอกกล่าวไปยังบริษัท อ. ลูกหนี้ก่อนด้วยว่าให้ชำระหนี้ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 82147 ได้

หากผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สิน ผู้รับจำนองต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนด้วยตามเงื่อนไขใน ป.พ.พ. มาตรา 728 วรรคหนึ่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5226/2567 (หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 728, 735)โจทก์มิได้ฟ้องบริษัท อ. ลูกหนี้ผู้กู้ยืมเงินเป็นจำเลย และแม้โจทก์จะฟ้อง ช. เป็นจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ก็ฟ้องในฐานะที่ ช. เป็นทายาทโดยธรรมของ ส. ผู้ค้ำประกันและผู้จำนองอีกคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ฟ้อง ช. เป็นจำเลยในฐานะผู้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 82147 เมื่อผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สินซึ่งจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 735 ผู้รับจำนองต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนด้วยตามเงื่อนไขใน ป.พ.พ. มาตรา 728 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์มิได้บอกกล่าวไปยังบริษัท อ. ลูกหนี้ก่อนด้วยว่าให้ชำระหนี้ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 82147 ได้

หากผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สิน  ผู้รับจำนองต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนด้วยตามเงื่อนไขใน ป.พ.พ. มาตรา 728 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5226/2567
(หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 728, 735)

โจทก์มิได้ฟ้องบริษัท อ. ลูกหนี้ผู้กู้ยืมเงินเป็นจำเลย และแม้โจทก์จะฟ้อง ช. เป็นจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ก็ฟ้องในฐานะที่ ช. เป็นทายาทโดยธรรมของ ส. ผู้ค้ำประกันและผู้จำนองอีกคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ฟ้อง ช. เป็นจำเลยในฐานะผู้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 82147 เมื่อผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สินซึ่งจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 735 ผู้รับจำนองต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนด้วยตามเงื่อนไขใน ป.พ.พ. มาตรา 728 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์มิได้บอกกล่าวไปยังบริษัท อ. ลูกหนี้ก่อนด้วยว่าให้ชำระหนี้ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 82147 ได้

ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับมารดาผู้เสียหายแล้ว แต่จำเลยเคยอุปการะผู้เสียหายเสมือนบิดา เมื่อมารดาพาผู้เสียหายไปฝากพักอาศัยอยู่ และจำเลยได้มีพฤติการณ์ล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เสียหาย จึงมีลักษณะเป็นการกระทำที่จำเลยมีอำนาจบังคับเหนือผู้เสียหาย จำเลยจึงต้องรับโทษหนักขึ้นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5524/2567(เล่ม 9 หน้า 2038) หลักกฎหมาย ป.อ. มาตรา 285แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับ ก. แล้ว และอำนาจปกครองของผู้เสียหายตามกฎหมายเป็นของ ก. ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุ ก. พาผู้เสียหายไปฝากให้พักอาศัยอยู่กับจำเลยซึ่งก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเคยพักอาศัยอยู่กับจําเลยหลายปีโดยจำเลยอุปการะเลี้ยงผู้เสียหายเสมือนเป็นบิดา เช่นนี้ พฤติการณ์ล่วงละเมิดทางเพศที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายจึงมีลักษณะเป็นการกระทำที่จำเลยมีอำนาจบังคับเหนือผู้เสียหาย ซึ่งก่อนเกิดเหตุเคยอยู่ในความอุปการะของจำเลย และขณะเกิดเหตุ ก. ได้ฝากให้ผู้เสียหายอยู่ในความดูแลของจำเลย ทำให้ผู้เสียหายต้องมีความเคารพยำเกรงและเชื่อฟังจำเลย ผู้เสียหายจึงเป็นผู้อยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยตามความหมายของ ป.อ. มาตรา 285 แล้ว ดังนี้ เมื่อจำเลยพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายในระหว่างที่ผู้เสียหายอยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยแล้ว จำเลยจึงต้องรับโทษหนักขึ้น

ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับมารดาผู้เสียหายแล้ว แต่จำเลยเคยอุปการะผู้เสียหายเสมือนบิดา เมื่อมารดาพาผู้เสียหายไปฝากพักอาศัยอยู่ และจำเลยได้มีพฤติการณ์ล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เสียหาย จึงมีลักษณะเป็นการกระทำที่จำเลยมีอำนาจบังคับเหนือผู้เสียหาย จำเลยจึงต้องรับโทษหนักขึ้นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5524/2567(เล่ม 9 หน้า 2038) หลักกฎหมาย ป.อ. มาตรา 285แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับ ก. แล้ว และอำนาจปกครองของผู้เสียหายตามกฎหมายเป็นของ ก. ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุ ก. พาผู้เสียหายไปฝากให้พักอาศัยอยู่กับจำเลยซึ่งก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเคยพักอาศัยอยู่กับจําเลยหลายปีโดยจำเลยอุปการะเลี้ยงผู้เสียหายเสมือนเป็นบิดา เช่นนี้ พฤติการณ์ล่วงละเมิดทางเพศที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายจึงมีลักษณะเป็นการกระทำที่จำเลยมีอำนาจบังคับเหนือผู้เสียหาย ซึ่งก่อนเกิดเหตุเคยอยู่ในความอุปการะของจำเลย และขณะเกิดเหตุ ก. ได้ฝากให้ผู้เสียหายอยู่ในความดูแลของจำเลย ทำให้ผู้เสียหายต้องมีความเคารพยำเกรงและเชื่อฟังจำเลย ผู้เสียหายจึงเป็นผู้อยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยตามความหมายของ ป.อ. มาตรา 285 แล้ว ดังนี้ เมื่อจำเลยพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายในระหว่างที่ผู้เสียหายอยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยแล้ว จำเลยจึงต้องรับโทษหนักขึ้น

ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับมารดาผู้เสียหายแล้ว แต่จำเลยเคยอุปการะผู้เสียหายเสมือนบิดา เมื่อมารดาพาผู้เสียหายไปฝากพักอาศัยอยู่ และจำเลยได้มีพฤติการณ์ล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เสียหาย จึงมีลักษณะเป็นการกระทำที่จำเลยมีอำนาจบังคับเหนือผู้เสียหาย จำเลยจึงต้องรับโทษหนักขึ้นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5524/2567(เล่ม 9 หน้า 2038) หลักกฎหมาย ป.อ. มาตรา 285แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับ ก. แล้ว และอำนาจปกครองของผู้เสียหายตามกฎหมายเป็นของ ก. ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุ ก. พาผู้เสียหายไปฝากให้พักอาศัยอยู่กับจำเลยซึ่งก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเคยพักอาศัยอยู่กับจําเลยหลายปีโดยจำเลยอุปการะเลี้ยงผู้เสียหายเสมือนเป็นบิดา เช่นนี้ พฤติการณ์ล่วงละเมิดทางเพศที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายจึงมีลักษณะเป็นการกระทำที่จำเลยมีอำนาจบังคับเหนือผู้เสียหาย ซึ่งก่อนเกิดเหตุเคยอยู่ในความอุปการะของจำเลย และขณะเกิดเหตุ ก. ได้ฝากให้ผู้เสียหายอยู่ในความดูแลของจำเลย ทำให้ผู้เสียหายต้องมีความเคารพยำเกรงและเชื่อฟังจำเลย ผู้เสียหายจึงเป็นผู้อยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยตามความหมายของ ป.อ. มาตรา 285 แล้ว ดังนี้ เมื่อจำเลยพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายในระหว่างที่ผู้เสียหายอยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยแล้ว จำเลยจึงต้องรับโทษหนักขึ้น

ดูแลอาคารและลูกบ้านอย่างมั่นใจ ด้วยบริษัทบริหารคอนโดที่เชื่อถือได้

ดูแลอาคารและลูกบ้านอย่างมั่นใจ ด้วยบริษัทบริหารคอนโดที่เชื่อถือได้

ดูแลครบวงจร เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของลูกบ้าน

ในการดูแลอาคารชุดหรือคอนโดมิเนียมให้เป็นระเบียบ ปลอดภัย และน่าอยู่ บริษัทบริหารคอนโด (หรือ บริษัทนิติบุคคลคอนโดบริษัทนิติบุคคลหมู่บ้าน) เข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดการด้านต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ทั้งเรื่องอาคาร สาธารณูปโภค การเงิน และความสัมพันธ์กับลูกบ้าน

ต่อไปนี้คือ ขั้นตอนการทำงาน ที่สำคัญของ บริษัทบริหารคอนโด ที่ดี


1. รับมอบหมายและประเมินโครงการ

บริษัทเริ่มต้นจากการพูดคุยและทำสัญญากับเจ้าของโครงการหรือคณะกรรมการ นิติบุคคล จากนั้นลงพื้นที่เพื่อประเมินระบบอาคาร สิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่ส่วนกลาง และจำนวนยูนิต ก่อนเริ่มวางแผนบริหาร


2. วางแผนการบริหารจัดการ

บริษัทนิติบุคคลคอนโด จะจัดทำแผนการบริหารครอบคลุมทั้ง

  • บุคลากร (เช่น นิติบุคคล รปภ. แม่บ้าน ช่าง)

  • แผนการซ่อมบำรุงระบบอาคาร

  • งบประมาณประจำปี และ

  • กฎระเบียบเบื้องต้นที่เหมาะสมกับลูกบ้าน


3. บริการลูกบ้านอย่างมืออาชีพ

หนึ่งในหน้าที่หลักของ บริษัทบริหารคอนโด คือการดูแลลูกบ้านให้ได้รับความสะดวกและความพึงพอใจ เช่น

  • รับเรื่องร้องเรียน

  • จัดการแจ้งซ่อม

  • ออกประกาศหรือหนังสือแจ้ง

  • จัดประชุมใหญ่/วิสามัญ

  • ประสานงานกับคณะกรรมการนิติบุคคล


4. บริหารจัดการการเงิน

บริษัทจะรับผิดชอบในการจัดเก็บค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ ค่าไฟส่วนกลาง และรายจ่ายอื่น ๆ พร้อมจัดทำระบบบัญชีที่โปร่งใส เช่น

  • ใบแจ้งหนี้ / ใบเสร็จ

  • งบการเงินประจำเดือน

  • รายงานรายรับ-รายจ่าย

เพื่อเสนอให้คณะกรรมการและเจ้าของร่วมตรวจสอบได้อย่างชัดเจน


5. ซ่อมบำรุงและดูแลระบบอาคาร

การดูแลระบบส่วนกลาง เช่น ไฟฟ้า ประปา ลิฟต์ ระบบรักษาความปลอดภัย ฯลฯ ต้องดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งเรียกผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบตามรอบ เช่น

  • ตรวจสอบเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance)

  • จัดทำรายงานซ่อมบำรุง

  • ประสานงานงานซ่อมฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว


6. ดูแลทรัพย์สินส่วนกลาง

บริษัทนิติบุคคลหมู่บ้าน และ บริษัทนิติบุคคลคอนโด ต้องจัดการพื้นที่ส่วนกลางให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ทั้งในแง่ความสะอาด ความปลอดภัย และการใช้งานร่วมกันของลูกบ้าน เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องประชุม สวนหย่อม ฯลฯ


7. รายงานผลและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

บริษัทจะต้องสื่อสารผลการดำเนินงานกับคณะกรรมการ และปรับปรุงแผนการทำงานตามความคิดเห็นของลูกบ้าน เพื่อพัฒนาโครงการอย่างยั่งยืน


✨ สรุป

การบริหารคอนโดมิเนียมไม่ใช่แค่เรื่องเอกสาร แต่คือการดูแล “คุณภาพชีวิต” ของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง บริษัทบริหารคอนโด ที่มีระบบจัดการดี จะช่วยให้นิติบุคคลมีความมั่นคง อาคารมีความปลอดภัย และลูกบ้านมีความสุขในทุกวัน

บริษัทบริหารคอนโด บริษัทนิติบุคคลหมู่บ้าน

Premium Choice Service บริษัทบริหารคอนโด และบริษัทนิติบุคคลหมู่บ้าน พร้อมดูแลโครงการของคุณอย่างมืออาชีพ ครบ จบ ในที่เดียว การออกแบบการบริการจากประสบการณ์ของบริษัทผู้บริหารและการบริการงานด้านอสังหาริมทรัพย์บริษัทบริหารคอนโดทั้งอาคารชุด (คอนโด) และ บริษัทนิติบุคคลหมู่บ้าน มากกว่า 20 ปี

Contact

093-319-9642

Facebook : Premium choice service-รับบริหารคอนโด และหมู่บ้าน

34 ลาดพร้าว 81 แขวงคลองเจ้าคุณสิงห์ เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร 10310

หลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิมาหลอกขายการซื้อขายที่ดินจึงเป็นโมฆะ ต้องคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8755/2551จำเลยหลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิมาหลอกขายให้โจทก์ ทำให้โจทก์เข้าใจว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองสามารถโอนสิทธิและนำไปออกเอกสารสิทธิได้ เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมสัญญา การซื้อขายที่ดินจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 และต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ จำเลยจึงต้องคืนเงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี

หลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิมาหลอกขายการซื้อขายที่ดินจึงเป็นโมฆะ ต้องคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8755/2551จำเลยหลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิมาหลอกขายให้โจทก์ ทำให้โจทก์เข้าใจว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองสามารถโอนสิทธิและนำไปออกเอกสารสิทธิได้ เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมสัญญา การซื้อขายที่ดินจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 และต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ จำเลยจึงต้องคืนเงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี

หลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิมาหลอกขาย
การซื้อขายที่ดินจึงเป็นโมฆะ ต้องคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8755/2551

จำเลยหลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิมาหลอกขายให้โจทก์ ทำให้โจทก์เข้าใจว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองสามารถโอนสิทธิและนำไปออกเอกสารสิทธิได้ เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมสัญญา การซื้อขายที่ดินจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 และต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ จำเลยจึงต้องคืนเงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี