มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่โลกจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3?

มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่โลกจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3?

มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่โลกจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3?

การถามว่า “โลกจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่?” เป็นคำถามที่หลายคนอาจสงสัยในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดระหว่างประเทศต่างๆ ทั่วโลกดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มีการเกิดสงครามที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือครั้งที่ 2 แต่การคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ยังคงเป็นหัวข้อที่นักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญในหลายสาขาให้ความสนใจและหาทางป้องกันอยู่เสมอ ในบทความนี้เราจะพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ที่อาจนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 และแนวทางในการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

Free American soldier in uniform holding the Holy Bible, symbolizing faith and patriotism. Stock Photo

สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ

ในยุคปัจจุบัน ประเทศมหาอำนาจต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา, รัสเซีย, และจีน ล้วนมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของการเมืองโลกและการรักษาสมดุลทางการทูตและเศรษฐกิจ การที่ประเทศเหล่านี้มีความขัดแย้งในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การทหาร หรืออิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ ล้วนเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดความตึงเครียดจนถึงขั้นเกิดความขัดแย้งในระดับที่สูงขึ้น สถานการณ์เช่นนี้ทำให้บางคนมองว่าอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้

ความเสี่ยงจากการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

หนึ่งในปัจจัยที่เสี่ยงที่สุดที่จะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 คือการพัฒนาและการใช้งานอาวุธนิวเคลียร์ ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ถือเป็นมหาอำนาจที่สามารถกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างมาก การทดสอบอาวุธนิวเคลียร์และการแสดงพลังทางทหารในหลายๆ เหตุการณ์ เช่น การทดสอบอาวุธของเกาหลีเหนือ หรือการขยายอิทธิพลของรัสเซียในพื้นที่ต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสงครามขนาดใหญ่

การเผชิญหน้าของโลกดิจิทัลและไซเบอร์สงคราม

นอกจากการเผชิญหน้าทางทหารแล้ว ปัจจุบันเรายังต้องพิจารณาถึงการขยายตัวของสงครามไซเบอร์ที่มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความมั่นคงของประเทศต่างๆ การโจมตีทางไซเบอร์ที่มีต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น การโจมตีในระบบพลังงาน การขโมยข้อมูล หรือการแฮ็กในระบบการสื่อสาร ก็สามารถกระทบต่อความปลอดภัยของประเทศได้ ไม่ต่างจากการโจมตีทางทหาร จึงเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม’

Free A soldier in full camouflage gear aiming a rifle while in a tactical stance outdoors. Stock Photo

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและผลกระทบทางเศรษฐกิจ

นอกจากการเมืองและความขัดแย้งระหว่างประเทศแล้ว ปัจจัยที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 3 อาจมาจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น น้ำสะอาด และที่ดินเพาะปลูก กลายเป็นเรื่องหายากมากขึ้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ อาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่แย่งชิงทรัพยากรเหล่านี้

แนวทางการป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 3

แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันอาจดูเหมือนมีความเสี่ยงต่อการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 แต่มีหลายแนวทางที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวได้ หนึ่งในแนวทางสำคัญคือการสร้างความเข้าใจระหว่างประเทศผ่านการเจรจาทางการทูตและการร่วมมือในประเด็นต่างๆ เช่น การควบคุมอาวุธ การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และการจัดการกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

นอกจากนี้ การเสริมสร้างความร่วมมือในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) และองค์การการค้าโลก (WTO) ก็มีความสำคัญในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงของโลก โดยการให้ความสำคัญกับการเจรจาและการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในระดับโลกด้วยวิธีทางสันติ

สรุป

แม้ว่าการคาดการณ์ว่าโลกจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 อาจเป็นเรื่องที่ยากจะบอกได้แน่ชัด แต่ปัจจัยหลายประการที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็สามารถสร้างความตึงเครียดที่อาจนำไปสู่สงครามโลกได้ หากไม่มีการบริหารจัดการอย่างรอบคอบ การสร้างสันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างจริงจังจะเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงเหล่านี้ โดยเฉพาะในเรื่องของการเจรจาทางการทูตและการเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างประเทศที่มีความขัดแย้ง

วัฒนธรรมตรุษจีนเริ่มมาจากอะไร? เตรียมความพร้อมตรุษจีน 2568

วัฒนธรรมตรุษจีนเริ่มมาจากอะไร? เตรียมความพร้อมตรุษจีน 2568

วัฒนธรรมตรุษจีนเริ่มมาจากอะไร? เตรียมความพร้อมตรุษจีน 2568

ตรุษจีนเป็นเทศกาลสำคัญของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยมีประเพณีและความเชื่อที่น่าสนใจมากมาย แต่หลายคนอาจสงสัยว่า วัฒนธรรมตรุษจีนเริ่มต้นมาจากไหน และเราควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อให้พร้อมสำหรับการเฉลิมฉลองตรุษจีนในปี 2568

Free A Golden Lucky Cat figurine symbolizing good fortune and prosperity, displayed indoors. Stock Photo

ที่มาของวัฒนธรรมตรุษจีน

ตรุษจีนมีรากฐานมาจากการเกษตรกรรมของชาวจีนโบราณ โดยเป็นการเฉลิมฉลองการสิ้นสุดฤดูหนาวและการเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำการเกษตร ชาวจีนเชื่อว่าการเฉลิมฉลองตรุษจีนจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์และโชคลาภที่ดีตลอดทั้งปี

นอกจากนี้ ตรุษจีนยังมีความเชื่อมโยงกับตำนานเทพเจ้าหลายองค์ เช่น เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยะ เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง และเทพเจ้ากวนอู เทพเจ้าแห่งความยุติธรรม ซึ่งชาวจีนจะทำการไหว้บูชาเพื่อขอพรให้ชีวิตมีความสุขและเจริญรุ่งเรือง

ความสำคัญของการเฉลิมฉลองตรุษจีน

การเฉลิมฉลองตรุษจีนเป็นโอกาสที่สมาชิกในครอบครัวจะได้มารวมตัวกัน เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน อาทิ การไหว้บรรพบุรุษ การรับประทานอาหารมงคล และการมอบอั่งเปาให้แก่เด็ก ๆ นอกจากนี้ การเฉลิมฉลองตรุษจีนยังเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามให้แก่คนรุ่นหลัง

Free Close-up of a red envelope with Chinese characters on concrete steps with scattered debris. Stock Photo

ความสำคัญของการเตรียมความพร้อมสำหรับตรุษจีน 2568

การเตรียมความพร้อมสำหรับเทศกาลตรุษจีน 2568 นั้นไม่ได้มีแค่การทำความสะอาดบ้านและจัดเตรียมอาหารเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงการเลือกสิ่งที่มงคลต่าง ๆ รวมถึงการทำกิจกรรมที่ถือเป็นประเพณีของชาวจีนในช่วงเทศกาลนี้ เพื่อเสริมสร้างโชคลาภและความเจริญรุ่งเรือง

1. การทำความสะอาดบ้านเพื่อขับไล่โชคร้าย

ก่อนถึงวันตรุษจีน ชาวจีนจะทำการทำความสะอาดบ้านอย่างละเอียด เพื่อขจัดโชคร้ายและสิ่งไม่ดีออกไปจากบ้านและชีวิตในปีเก่าก่อนที่จะเริ่มต้นปีใหม่ การทำความสะอาดนี้จะทำในช่วงก่อนวันตรุษจีน โดยจะหลีกเลี่ยงการทำความสะอาดในวันตรุษจีนเพราะเชื่อว่าอาจทำให้โชคดีหายไป

2. การซื้อของมงคลและขนมในช่วงตรุษจีน

การเลือกซื้อของมงคลเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมตรุษจีน ซึ่งมักจะเป็นสิ่งของที่สื่อถึงความโชคดีและความเจริญรุ่งเรือง เช่น ส้มจีน (ส้มคำ) ที่สื่อถึงความร่ำรวย ขนมเข่งและขนมเทียนที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ และการจัดเตรียมอาหารมงคล เช่น หมูอบ, เป็ดพะโล้ และข้าวหมาก ที่เชื่อว่าเป็นการต้อนรับโชคดีในปีใหม่

3. การมอบเงินอั่งเปา

หนึ่งในประเพณีที่สำคัญและน่าตื่นเต้นที่สุดในช่วงตรุษจีนคือการมอบ “อั่งเปา” หรือ “เงินเยี่ยม” ให้แก่คนในครอบครัว โดยเฉพาะเด็ก ๆ หรือผู้ที่ยังไม่แต่งงาน โดยเงินอั่งเปานั้นมักจะเป็นเงินที่มอบให้ในซองสีแดง ซึ่งเชื่อว่าจะนำโชคดีและความเจริญรุ่งเรืองมาให้

4. การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีแดง

การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีแดงเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญในเทศกาลตรุษจีน เนื่องจากสีแดงถือเป็นสีที่สามารถขับไล่โชคร้ายและดึงดูดโชคดีและความเจริญรุ่งเรืองเข้ามาในชีวิตได้ การสวมใส่เสื้อผ้าสีแดงในวันตรุษจีนจึงถือเป็นการเสริมโชคลาภและสร้างบรรยากาศที่มีความสุข

5. การทำอาหารพิเศษและการร่วมกิจกรรมในครอบครัว

ในวันตรุษจีน ชาวจีนจะมีการทำอาหารพิเศษที่มักจะถูกเตรียมไว้ในช่วงเทศกาล เพื่อเสริมสร้างความสุขในครอบครัวและให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองในปีใหม่ การทานอาหารร่วมกันในครอบครัวเป็นการสร้างความสัมพันธ์และส่งเสริมความสามัคคีระหว่างสมาชิกในครอบครัว

สรุป

ตรุษจีนในปี 2568 นี้ เป็นโอกาสที่ดีในการทำความรู้จักกับวัฒนธรรมและประเพณีที่มีความหมายลึกซึ้งสำหรับชาวจีน การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณต้อนรับโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างความสุขและความอบอุ่นในครอบครัวอีกด้วย อย่าลืมทำตามประเพณีต่าง ๆ เช่น การทำความสะอาดบ้าน การจัดเตรียมของมงคล และการมอบอั่งเปา เพื่อให้เทศกาลตรุษจีนในปีนี้เต็มไปด้วยความสุขและความสำเร็จ!

เรื่องที่คนอาจไม่รู้ โรคหายากที่หนึ่งในล้านจะเป็น

เรื่องที่คนอาจไม่รู้ โรคหายากที่หนึ่งในล้านจะเป็น

เรื่องที่คนอาจไม่รู้ โรคหายากที่หนึ่งในล้านจะเป็น

โรคหายาก เป็นโรคที่มีจำนวนผู้ป่วยน้อยมาก โดยทั่วไปนิยามว่าเป็นโรคที่มีผู้ป่วยน้อยกว่า 1 ใน 2,000 คน แม้ว่าจะเรียกว่า “หายาก” แต่โรคเหล่านี้กลับส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวอย่างมาก โรคหายากแต่ละชนิดมีสาเหตุและอาการที่แตกต่างกันออกไป บางโรคอาจเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม บางโรคอาจเกิดจากปัจจัยแวดล้อม หรืออาจเกิดจากการผสมผสานกันของทั้งสองปัจจัย

1. โรคฮันติงตัน (Huntington’s Disease)

โรคฮันติงตัน เป็นโรคทางพันธุกรรมที่หายากและส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางโดยตรง ซึ่งมักเกิดในวัยกลางคน ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการเสื่อมสภาพของเซลล์สมอง ซึ่งทำให้มีอาการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เช่น การกระตุกของแขนขา การเคลื่อนไหวรุนแรง หรือการสูญเสียความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวต่าง ๆ อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ยังมีอาการทางจิตใจและอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น อาการซึมเศร้า ความวิตกกังวล และการสูญเสียความสามารถในการคิดหรือการตัดสินใจอย่างถูกต้อง โรคฮันติงตันเกิดจากการกลายพันธุ์ในยีน HTT ที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อแม่สู่อีกคนหนึ่ง โดยผู้ป่วยมักจะเริ่มมีอาการในช่วงอายุประมาณ 30-40 ปี

2. โรคดอนเนอ (Duchenne Muscular Dystrophy)

โรคดอนเนอ หรือที่เรียกว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงแบบดูเชนน์ (Duchenne Muscular Dystrophy, DMD) เป็นโรคที่หายากและส่งผลกระทบต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อมีความอ่อนแอและเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว โดยโรคนี้จะเกิดขึ้นในเด็กชายมากกว่าผู้หญิง และมักแสดงอาการตั้งแต่ในช่วงวัยเด็ก โดยที่เด็กจะเริ่มมีปัญหาในการเดินหรือการเคลื่อนไหวภายในอายุ 3-5 ปี

โรคนี้เกิดจากการขาดโปรตีนที่สำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อที่เรียกว่า “ดีสโตรฟิน” ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น การขาดโปรตีนนี้ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และมีการเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว ทำให้เด็กที่เป็นโรคนี้ไม่สามารถเดินหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ

3. โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease)

โรคพาร์กินสันเป็นโรคทางระบบประสาทที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของเซลล์ในสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีอาการสั่น (Tremors) มือหรือขาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ อาการอื่น ๆ ที่มักพบได้แก่ การเคลื่อนไหวที่ช้า การเดินที่ยากลำบาก การหดตัวของกล้ามเนื้อ และปัญหาทางการพูด

โรคนี้มักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในวัย 60 ปีขึ้นไป แต่ก็สามารถเกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุน้อยกว่านั้นได้ แม้จะไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่การลดลงของสารโดปามีนในสมองเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการของโรคนี้

 

สรุป

แม้ว่าโรคหายากจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยจำนวนเพียงหนึ่งในล้าน แต่การทำความเข้าใจและเรียนรู้เกี่ยวกับโรคเหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มการตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลรักษาผู้ป่วย การสนับสนุนจากสังคมและการวิจัยทางการแพทย์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ที่ประสบกับโรคเหล่านี้สามารถมีชีวิตที่มีคุณภาพ และสามารถจัดการกับโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตอบคำถามผู้ป่วยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท รักษายากและแพงไหม?

ตอบคำถามผู้ป่วยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท รักษายากและแพงไหม?

ตอบคำถามผู้ป่วยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท รักษายากและแพงไหม?

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเป็นอาการที่ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยอย่างมาก เนื่องจากทำให้เกิดอาการปวดหลังรุนแรง ร้าวไปถึงขา หรือแม้กระทั่งทำให้เกิดอาการชาในบางส่วนของร่างกาย ในกรณีที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีทั่วไป อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการรักษา รวมถึงค่าใช้จ่ายที่อาจจะสูงขึ้น จึงเกิดคำถามที่ว่า “รักษาหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทยากและแพงไหม?” ในบทความนี้ เราจะมาไขคำตอบเกี่ยวกับปัญหานี้อย่างละเอียด

Free A healthcare professional applies kinesiology tape on a woman's neck for therapeutic treatment. Stock Photo

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทคืออะไร?

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเกิดขึ้นเมื่อหมอนรองกระดูกที่อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังเคลื่อนที่หรือฉีกขาดออกจากที่เดิม ทำให้มีแรงกดทับหรือบีบเส้นประสาทที่ออกจากกระดูกสันหลัง ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดขา ชาหรืออ่อนแรงในบางกรณี หากไม่ทำการรักษาอาจทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการเคลื่อนไหวและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้

รักษาหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทยากหรือไม่?

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท รักษา มีความหลากหลาย และการเลือกวิธีรักษาขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการและการประเมินจากแพทย์ในแต่ละกรณี สำหรับกรณีที่อาการไม่รุนแรงมากนัก สามารถรักษาด้วยวิธีอนุรักษ์ เช่น การทำกายภาพบำบัด การใช้ยาเพื่อลดอาการปวด และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำเนินชีวิตให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับบางกรณีที่อาการรุนแรงหรือมีอาการเรื้อรัง อาจจำเป็นต้องพิจารณาการรักษาในรูปแบบที่เจาะจงมากขึ้น เช่น การผ่าตัดหรือการรักษาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง

Free A shirtless man stretching his back indoors, showcasing muscular anatomy. Stock Photo

การรักษาหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมีค่าใช้จ่ายสูงหรือไม่?

ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการรักษาหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทนั้น มีความแตกต่างกันไปตามวิธีการรักษาและระดับความรุนแรงของอาการ สำหรับผู้ที่สามารถรักษาด้วยวิธีอนุรักษ์ เช่น การทำกายภาพบำบัดหรือการใช้ยามักจะมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมาก และบางครั้งการรักษาเหล่านี้อาจใช้เวลานาน แต่สามารถเห็นผลได้ในระยะยาว

แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องผ่าตัด หรือใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การผ่าตัดด้วยเลเซอร์หรือการรักษาด้วยคลื่นความถี่สูง ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นไปอีก นอกจากค่าผ่าตัดแล้ว ผู้ป่วยอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในด้านการฟื้นฟูหลังผ่าตัด เช่น การทำกายภาพบำบัด หรือการติดตามผลการรักษาในระยะยาว ทำให้เกิดคำถามตามมาที่ว่า หมอนรองกระดูกทับเส้นรักษาที่ไหนดี หากต้องการทั้งประหยัดเงินและได้หมอคุณภาพ ซึ่งในไทยตอนนี้ก็ยังมีโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเฉพาะทางที่รักษาด้านนี้โดยเฉพาะ

วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงของหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

การป้องกันไม่ให้เกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทนั้นสำคัญมาก โดยเฉพาะการดูแลตัวเองในเรื่องของการออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพกระดูกสันหลังให้ดีเสมอ การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ การหลีกเลี่ยงท่าทางที่อาจทำให้เกิดแรงกดทับกระดูกสันหลัง เช่น การนั่งหรือยืนในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง การยกของหนักด้วยท่าทางที่เหมาะสม รวมถึงการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหลัง