ขอบคันหินแบบกลวง แข็งแรงจริงหรือแค่ประหยัดปูน?

ขอบคันหินแบบกลวง แข็งแรงจริงหรือแค่ประหยัดปูน?

เวลาเราเดินผ่านทางเท้า ถนน หรือสวนสาธารณะ เคยสังเกตไหมครับว่าขอบคันหินบางที่ดูเหมือนตัน แต่บางที่กลับ “กลวงข้างใน”?
ใช่แล้ว นั่นแหละคือ “ขอบคันหินแบบกลวง” วัสดุที่กำลังมาแรงในวงการงานถนนและงานภูมิทัศน์ เพราะเบากว่า เคลื่อนย้ายง่าย และราคาย่อมเยากว่าแบบตัน แต่ก็ยังมีคำถามคาใจจากหลายคนว่า…

“ของกลวงมันจะทนเหรอ?”
“มันแข็งแรงพอไหม?”
“หรือแค่ช่วยให้ผู้รับเหมาประหยัดปูน?”

วันนี้ Mr.Home จะพาไปเจาะลึกกันแบบไม่อวย ทั้งข้อดี ข้อจำกัด และเทรนด์การใช้งานของขอบคันหินกลวงในปัจจุบัน เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ถูกก่อนลงมือทำจริงครับ

ขอบคันหินแบบกลวงคืออะไร?

“ขอบคันหิน” หรือที่หลายคนเรียกว่า “คันหินฟุตบาท” (👉อ่านเพิ่มเติม: ขอบคันหินคืออะไร พร้อมไอเดียการนำเอาไปใช้งาน) คือแนวกั้นระหว่างถนนกับทางเท้า ใช้เพื่อป้องกันการไหลของน้ำ ควบคุมแนวทางเดิน และช่วยให้พื้นที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย

ขอบคันหินแบบกลวง มีลักษณะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กที่มี “ช่องว่างภายใน” คล้ายกล่องสี่เหลี่ยมที่ปิดหัวท้าย เพื่อให้ น้ำหนักเบา และ ใช้ปูนในปริมาณน้อยลง เมื่อเทียบกับแบบตันที่เป็นคอนกรีตเต็มก้อน

ฟังดูเหมือนลดวัสดุใช่ไหมครับ? แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้แปลว่า “ลดความแข็งแรง” เสมอไป
เพราะการออกแบบของขอบคันหินกลวงในยุคใหม่ มักใช้วิศวกรรมโครงสร้างที่คำนวณแรงรับน้ำหนักอย่างแม่นยำ เรียกว่า “เบาแต่แกร่ง” ก็ไม่เกินจริงนัก

โครงสร้างและคุณสมบัติที่ทำให้ “ของกลวง” ทนได้

หลายคนอาจเข้าใจว่าความแข็งแรงต้องมาจาก “ความตัน” แต่ในโลกของวัสดุก่อสร้างไม่เสมอไปครับ
ขอบคันหินแบบกลวงสมัยนี้ใช้หลักการเดียวกับ “เสาเข็มกลวง” หรือ “ท่อคอนกรีตแรงอัดสูง” คือใช้ โครงสร้างรับแรงจากผนังรอบนอก แทนการพึ่งคอนกรีตภายใน

สิ่งที่ทำให้มันยังคงแข็งแรง มีอยู่ 3 อย่างหลัก ๆ คือ

  1. วัสดุเกรดเดียวกับแบบตัน
    ใช้คอนกรีตอัดแรงเกรดเดียวกัน (เช่น กำลังอัด 240–280 กก./ตร.ซม.) ดังนั้นความทนทานต่อแรงกดและแรงกระแทกจึงแทบไม่ต่าง

  2. การออกแบบช่องกลวงแบบรับแรง
    ช่องภายในไม่ได้กลวงแบบโล่ง ๆ แต่มีการคำนวณให้กระจายน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอ เช่น ใช้ผนังหนา 5–7 ซม. รอบตัว และอาจมีเส้นเหล็กเสริมในแนวขวาง

  3. ผ่านการอบไอน้ำ (Steam Curing)
    ช่วยให้คอนกรีตเซตตัวเร็ว แข็งแรง และทนต่อสภาพอากาศ — ทำให้เหมาะกับงานนอกอาคารที่ต้องเจอแดดฝนตลอดปี

คำตอบคือ “ประหยัดแน่ ถ้าใช้งานถูกประเภท”
เพราะด้วยน้ำหนักที่เบากว่าแบบตันราว 20–30% ทำให้ขนส่งง่าย ติดตั้งเร็ว และลดต้นทุนแรงงานได้เยอะทีเดียว

ในแง่ของราคาวัสดุ ขอบคันหินแบบกลวงทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ
120–180 บาทต่อก้อน (ความยาว 1 เมตร)
ขณะที่แบบตันอยู่ราว 160–250 บาทต่อก้อน
ฟังดูส่วนต่างไม่มาก แต่ถ้าเป็นโครงการที่ต้องใช้หลายร้อยเมตร — ตัวเลขนี้อาจประหยัดได้หลักหมื่นเลยครับ

แล้วมันเหมาะกับงานแบบไหน?

ขอบคันหินแบบกลวงไม่ได้เหมาะกับทุกงานนะครับ แต่ถ้าใช่สถานที่ มันตอบโจทย์สุด ๆ
ต่อไปนี้คือประเภทงานที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน:

1. งานจัดสวนและพื้นที่บ้านพักอาศัย

เหมาะกับงานที่ไม่มีแรงกระแทกจากรถยนต์ เช่น ขอบสนามหญ้า ทางเดินในสวน หรือแนวระบายน้ำรอบบ้าน เพราะน้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย และดูเรียบร้อย

2. งานตกแต่งพื้นที่เชิงพาณิชย์ขนาดเล็ก

เช่น ลานจอดรถจักรยานยนต์ ทางเท้ารอบอาคาร ร้านกาแฟ หรือคาเฟ่ที่ต้องการแนวขอบปูนสวย ๆ แต่ไม่ต้องรับแรงมาก

3. งานโครงการหมู่บ้านจัดสรร

ผู้รับเหมาหลายรายเริ่มหันมาใช้ขอบคันหินกลวงเพราะช่วยลดต้นทุนก่อสร้างโดยรวม และยังสามารถผลิตได้รวดเร็วในรูปแบบ “สำเร็จรูป” พร้อมติดตั้ง

แล้วแบบไหน “ไม่เหมาะ” ใช้กลวง?

ถึงจะมีข้อดีมาก แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรรู้ไว้ก่อนเลือกใช้ครับ

  • ไม่เหมาะกับถนนหลักที่รถยนต์วิ่งชิดขอบตลอดเวลา
    เช่น ถนนใหญ่ ลานจอดรถบรรทุก หรือทางลาดที่ต้องรับแรงเฉือนสูง

  • ไม่ควรใช้ในพื้นที่ที่น้ำกัดเซาะแรง
    เพราะหากติดตั้งไม่ดี อาจเกิดโพรงใต้คันหิน ทำให้เคลื่อนตัวได้

  • ห้ามเจาะทะลุหรือยึดโครงสร้างหนัก
    ช่องกลวงภายในออกแบบมาเพื่อรับแรงแนวตั้ง ไม่เหมาะกับแรงดึงหรือแรงบิด

พูดง่าย ๆ คือ ถ้าเป็นงาน “ตกแต่ง” ใช้ได้ดี
แต่ถ้าเป็นงาน “โครงสร้างหลัก” ควรเลือกแบบตันหรือแบบเสริมเหล็กเต็มครับ

เทรนด์ใหม่ ขอบคันหินกลวงสำเร็จรูปเพื่อภูมิทัศน์สีเขียว

น่าสนใจมากว่าช่วง 1–2 ปีหลังมานี้ โรงงานผลิตคันหินหลายแห่งเริ่มพัฒนา “ขอบคันหินกลวงแบบระบายน้ำได้”
โดยมีช่องด้านล่างเล็ก ๆ ให้ น้ำฝนซึมลงดิน แทนการไหลบนผิวถนน เหมาะกับแนวคิด “Green Infrastructure” ที่เน้นการบริหารจัดการน้ำฝนอย่างยั่งยืน

บางรุ่นยังใช้ปูนสูตรลดคาร์บอน (Low Carbon Concrete) และเพิ่มเส้นใยไฟเบอร์แทนเหล็กเสริม ช่วยลดสนิมและเพิ่มอายุการใช้งาน
เรียกว่าไม่ใช่แค่ “กลวง” แต่ยัง “ฉลาดขึ้น” ด้วยครับ

สรุป แข็งแรงจริงหรือแค่ประหยัดปูน?

ถ้าจะตอบสั้น ๆ

ขอบคันหินแบบกลวงแข็งแรงพอสำหรับงานที่เหมาะสม และประหยัดกว่าจริง!

แต่ต้องเลือกใช้ให้ถูกงานและติดตั้งอย่างถูกวิธี เช่น มีคอนกรีตรองพื้น (lean concrete) ที่ได้ระดับ และอัดแน่นดินข้างคันหินให้แน่นก่อนเทปูนยึดด้านหลัง

อย่าลืมว่า “กลวงไม่ได้แปลว่าอ่อนแอ”
เพราะโครงสร้างที่ดีคือการคำนวณรับแรง ไม่ใช่แค่การเทให้ตันครับ

สรุปส่งท้ายจาก Mr.Home

ขอบคันหินแบบกลวงอาจดูเรียบง่าย แต่ถือเป็นวัสดุที่ช่วยให้การทำงานหน้างานเร็วขึ้นมาก ประหยัดทั้งต้นทุนและแรงงาน เหมาะกับคนที่ต้องการความสวยเรียบในพื้นที่บ้านหรือสวน

หากคุณกำลังจะทำแนวทางเดิน ปรับภูมิทัศน์รอบบ้าน หรืองานตกแต่งพื้นที่
ลองพิจารณาขอบคันหินกลวงดูครับ
เบา ติดตั้งไว และที่สำคัญ… คุ้มค่ากว่าที่คิดจริง ๆ

รวมวิธีก่อกำแพงกันดินราคาถูก เลือกแบบไหนดีให้คุ้มค่า?

รวมวิธีก่อกำแพงกันดินราคาถูก เลือกแบบไหนดีให้คุ้มค่า?

เวลาเจอปัญหาดินสไลด์ ดินไหลตลิ่งทรุด หรือแม้แต่ดินข้างบ้านค่อย ๆ เซาะออกไป หลายคนก็เริ่มมองหาวิธีทำ “กำแพงกันดินราคาประหยัด” เพื่อแก้ปัญหา แต่คำถามที่มักจะตามมาคือ จะเลือกแบบไหนดีที่ทั้งถูกและทน? บางคนบอกก่ออิฐง่าย บางคนว่าใช้แผ่นพื้นสำเร็จรูปคุ้มกว่า หรือบางคนก็ชอบวัสดุรีไซเคิลเพราะถูกสุด ๆ

วันนี้เราจะพาไปเจาะลึก วิธีก่อกำแพงกันดินราคาถูก ที่คนส่วนใหญ่ใช้จริง พร้อมข้อดีข้อเสียและราคาโดยประมาณ เพื่อให้คุณเลือกแบบที่เหมาะกับพื้นที่และงบประมาณมากที่สุด

🧱 1. กำแพงกันดินด้วยแผ่นพื้นสำเร็จรูป + เสาไอคอนกรีต

วิธีนี้ถือว่าได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะติดตั้งง่าย ไม่ต้องหล่อคอนกรีตหน้างานให้วุ่นวาย เพียงแค่ฝัง เสาไอ ลงดินเป็นแนว แล้วสอด แผ่นพื้นสำเร็จรูป ลงไปตามร่องเสา ก็ได้กำแพงกันดินที่แข็งแรงในเวลาไม่นาน

ราคาโดยประมาณ เริ่มต้นราว ๆ 1,200–1,800 บาท/เมตร (ขึ้นกับความสูงและความหนาของแผ่น) ข้อดี ประหยัดเวลา ไม่ต้องใช้ช่างฝีมือสูง ดูแลรักษาง่าย ข้อสังเก ถ้าพื้นที่เป็นดินอ่อนหรือรับแรงดันมาก อาจต้องเสริมฐานรากหรือคานคอนกรีต

👉 ถ้าอยากรู้เรื่องงบประมาณแบบละเอียดว่าต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ แนะนำไปอ่านบทความ สร้างกำแพงกันดินต้องใช้งบเท่าไหร่? ไขคำตอบในบทความนี้!

🧱 2. กำแพงกันดินบล็อกประสาน

อีกหนึ่งตัวเลือกที่ฮิตในงานสวนและบ้านพักตากอากาศคือ บล็อกประสาน เพราะนอกจากราคาถูกแล้ว ยังสวยงามและทำเป็นลวดลายได้หลายแบบ

ราคาโดยประมาณ 800–1,200 บาท/เมตร ข้อดี วางง่าย ไม่ต้องใช้ปูนมาก มีช่องให้ปลูกต้นไม้เพิ่มความสวยงาม ข้อสังเกต ถ้าใช้กันดินสูงเกิน 1.5 เมตร อาจไม่แข็งแรงพอ ต้องเสริมโครงสร้าง

 

 

🧱 3. กำแพงกันดินหินเรียง (Dry Stone Wall)

ใครที่อยู่ต่างจังหวัดหรือมีหินในพื้นที่อยู่แล้ว การทำ กำแพงหินเรียง ถือเป็นวิธีประหยัดสุด ๆ ใช้แรงงานคนเรียงหินซ้อนกันแบบไม่ต้องใช้ปูน

ราคาโดยประมาณ 500–900 บาท/เมตร (ถ้ามีหินในพื้นที่แทบไม่เสียค่าวัสดุ) ข้อดี เป็นธรรมชาติ ทนทานต่อการระบายน้ำ เหมาะกับงานเกษตรหรือริมทาง ข้อสังเกต ต้องอาศัยฝีมือในการเรียงหิน ไม่เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการความเรียบร้อยมาก ๆ

 

 

🧱 4. กำแพงกันดินยางรถยนต์เก่า

นี่คือไอเดียรีไซเคิลที่ทั้งถูกและช่วยลดขยะในโลก ใช้ ยางรถเก่าเรียงซ้อนกัน ใส่ดินหรือหินในยางแล้วกดอัดให้แน่น กลายเป็นกำแพงกันดินแบบบ้าน ๆ แต่แข็งแรงกว่าที่คิด

ราคาโดยประมาณ 200–500 บาท/เมตร (ขึ้นกับการหายางได้ฟรีหรือไม่) ข้อดี ต้นทุนต่ำ รีไซเคิลเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ข้อสังเกต รูปทรงไม่สวยงามนัก เหมาะกับพื้นที่ไร่ สวน หรือโครงการเกษตร

 

 

🧱 5. กำแพงกันดินเทคอนกรีตหน้างาน

วิธีดั้งเดิมที่ยังคงใช้ในงานใหญ่ ๆ คือ การทำฟอร์มเวิร์กและเทคอนกรีตหน้างาน ข้อดีคือแข็งแรงสุด ๆ ใช้ได้กับงานกันดินขนาดใหญ่ เช่น ถนน เขื่อนขนาดเล็ก หรืออาคาร

ราคาโดยประมาณ 1,800–2,500 บาท/เมตร ข้อดี แข็งแรงทนทาน ใช้กับงานที่รับแรงดันดินสูง ข้อสังเกต ใช้เวลาและค่าแรงเยอะที่สุด ไม่ใช่ตัวเลือกประหยัดที่สุดถ้างานเล็ก

 

 

💡 เคล็ดลับเลือกกำแพงกันดินราคาถูกให้คุ้มค่า

  1. ดูสภาพดินก่อน – ดินแข็งหรือดินอ่อนจะมีผลต่อการเลือกโครงสร้าง

  2. ไม่เน้นสวยมาก ใช้หินหรือยางรถถูกกว่า – ถ้าพื้นที่เป็นไร่หรือสวน ไม่ต้องลงทุนกับโครงสร้างแพง

  3. งานบ้านแนะนำชุดสำเร็จรูป – เสาไอ + แผ่นพื้น คือทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับคนอยากได้ความแข็งแรงในงบกลาง ๆ

  4. ลดค่าขนส่ง – พยายามเลือกโรงงานหรือผู้ผลิตที่อยู่ใกล้พื้นที่ เพราะค่าขนส่งคอนกรีตและหินมีผลต่อราคามาก

  5. อย่าลืมเรื่องระบายน้ำ – ไม่ว่าทำแบบไหน ต้องมีท่อหรือช่องระบายน้ำด้านหลัง เพื่อยืดอายุการใช้งาน

 

 

📌 สรุป

กำแพงกันดินราคาถูกมีให้เลือกหลายแบบ ตั้งแต่หินเรียง ยางรถเก่า บล็อกประสาน ไปจนถึงชุดสำเร็จรูปและงานเทคอนกรีตหน้างาน การเลือกขึ้นอยู่กับ งบประมาณ พื้นที่ และความสวยงามที่ต้องการ ถ้าอยากได้แข็งแรง ทนทาน และติดตั้งไม่ยาก ชุดเสาไอ + แผ่นพื้นสำเร็จรูปถือว่าคุ้มที่สุด ส่วนใครงบน้อยหรือเน้นธรรมชาติ หินเรียงหรือยางรถเก่าก็ช่วยประหยัดได้เยอะ

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหน สิ่งสำคัญคือทำให้ตรงกับการใช้งานและคำนึงถึงระยะยาว เพราะกำแพงกันดินไม่ใช่งานที่ทำบ่อย ๆ ควรเลือกให้ถูกตั้งแต่ครั้งแรกครับ ✅

ฟุตติ้งสำเร็จรูปราคาเท่าไหร่? คุ้มกว่าหล่อในที่จริงหรือ?

ฟุตติ้งสำเร็จรูปราคาเท่าไหร่? คุ้มกว่าหล่อในที่จริงหรือ?

เคยเจอปัญหาหน้างานล่าช้าเพราะต้องรอเทฟุตติ้งไหม? หรืออยากทำรั้ว-โรงเรือนเล็ก ๆ ด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงกับเรื่องฐานราก? ฟุตติ้งสำเร็จรูปอาจเป็นทางออกที่ง่ายกว่าที่คุณคิด และที่สำคัญ…อาจประหยัดงบมากกว่าที่คุณคาดไว้ด้วย!

ฟุตติ้งสำเร็จรูปคืออะไร?

ก่อนจะไปเรื่องราคา เรามาทำความรู้จักกับเจ้า “ฟุตติ้งสำเร็จรูป” กันก่อนสักนิด
ฟุตติ้งสำเร็จรูป หรือ ฐานรากคอนกรีตหล่อสำเร็จ คือชิ้นส่วนคอนกรีตที่ผลิตจากโรงงานตามขนาดมาตรฐาน มีเหล็กเสริมภายในพร้อมใช้งานทันที ไม่ต้องมานั่งผสมปูน หล่อแบบ หรือรอให้คอนกรีตเซ็ตตัวเหมือนการหล่อในที่

ลักษณะเด่นของฟุตติ้งสำเร็จรูปคือ มีความแม่นยำในรูปทรง ควบคุมคุณภาพได้จากโรงงาน และขนย้ายง่าย ติดตั้งไว เหมาะสำหรับงานโครงสร้างขนาดเล็กถึงกลาง เช่น เสารั้ว เสาไฟ บ้านสำเร็จรูป หรือแม้แต่งาน DIY รอบบ้าน

ฟุตติ้งสำเร็จรูปราคาเท่าไหร่?

ราคาของฟุตติ้งสำเร็จรูปจะขึ้นอยู่กับ ขนาด และ น้ำหนัก ของแต่ละชิ้น โดยทั่วไปมีขนาดยอดนิยม เช่น 40×40 ซม., 50×50 ซม. ไปจนถึง 60×60 ซม. ขึ้นไป

ตัวอย่างราคาตลาด (อัปเดตปี 2025)

ขนาดฟุตติ้ง (ซม.) ราคาประมาณ (บาท/ชิ้น) เหมาะกับงาน
40×40 350–450 รั้วลวดหนาม, เสาเล็ก
50×50 500–700 เสาไฟ, คอกสัตว์
60×60 700–1,000 งานโครงสร้างหนักเล็กน้อย

ราคาข้างต้นยังไม่รวมค่าขนส่งหรือค่าติดตั้ง ซึ่งจะขึ้นกับระยะทางและปริมาณที่สั่งซื้อ

หากคุณสั่งเป็นจำนวนมาก เช่น 20–50 ชิ้นขึ้นไป ก็สามารถต่อรองราคาจากผู้ผลิตหรือร้านวัสดุก่อสร้างได้เช่นกัน หลายแห่งมีโปรโมชันลดราคาเมื่อซื้อยกล็อต

คุ้มกว่าหล่อในที่จริงหรือ?

ใครที่ยังลังเลระหว่าง “จะใช้ฟุตติ้งสำเร็จรูป” หรือ “จะหล่อในที่แบบเดิม ๆ” มาลองเทียบกันดูในแง่ของ ต้นทุน + เวลา + ความเสี่ยง

1. ราคา/ต้นทุนรวม

รายการ ฟุตติ้งสำเร็จรูป หล่อในที่
วัสดุ ราคาคงที่ ชิ้นละ 350–1,000 บ. แยกซื้อ (ปูน, เหล็ก, ไม้แบบ ฯลฯ)
ค่าแรง ต่ำ (แค่ขุดวาง + ตั้งเสา) สูง (เท,แต่ง,รอเซ็ตตัว)
เวลาในการทำงาน เร็ว – เสร็จภายในวันเดียว อย่างน้อย 2–3 วันต่อจุด
ความผิดพลาดจากช่าง น้อยมาก (โรงงานควบคุม QC) ขึ้นกับฝีมือ + หน้างาน

ถ้านับรวม ค่าเสียโอกาส (เสียเวลา = เสียเงิน) ฟุตติ้งสำเร็จรูปถือว่าคุ้มกว่าเห็น ๆ โดยเฉพาะงานที่ต้องการความเร็ว เช่น งานรั้วฟาร์ม งานปรับพื้นที่เกษตร หรืองานบ้านสวน

ใช้กับงานแบบไหนถึงจะคุ้ม?

  • ✅ รั้วคอนกรีตสำเร็จรูป

  • ✅ รั้วคาวบอย

  • ✅ งานติดตั้งเสากล้องวงจรปิด

  • ✅ คอกสัตว์เล็ก

  • ✅ โรงเรือนเกษตร

  • ✅ บ้านน็อคดาวน์ ฐานเสาเบา

แม้กระทั่งบ้านโครงสร้างเบาแบบสำเร็จรูปก็เริ่มหันมาใช้ฟุตติ้งแบบนี้กันมากขึ้นแล้ว เพราะสามารถลดค่าแรงและควบคุมความเสี่ยงเรื่องงานใต้ดินได้ดี

สรุป ฟุตติ้งสำเร็จรูป คุ้มไหม?

คุ้ม! โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องการความรวดเร็วในการทำงาน ลดความซับซ้อนเรื่องวัสดุและแรงงาน และไม่ต้องกังวลกับฝีมือช่างมากนัก ยิ่งงานเล็ก งาน DIY หรือรั้วรอบที่ดิน การเลือกใช้ฟุตติ้งสำเร็จรูปช่วยให้คุณ คุมงบได้แม่นยำ และยัง ลดความเสี่ยงงบบานปลาย ได้อีกด้วย

หากคุณกำลังคิดจะทำรั้ว ทำบ้านเล็ก หรืออยากเริ่มโครงสร้างง่าย ๆ ในงบไม่เกินหมื่น ฟุตติ้งสำเร็จรูปอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่คุณรออยู่ก็ได้!

ถ้าคุณยังไม่มั่นใจในเรื่องการติดตั้งหรือรูปแบบฟุตติ้งที่เหมาะกับงานของคุณ ลองเข้าไปอ่านบทความที่เกี่ยวข้องเรื่อง
👉 แบบหล่อฟุตติ้งสำเร็จรูป ทางลัดช่วยทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น
ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจทั้งกระบวนการผลิต และข้อดีเพิ่มเติมของฟุตติ้งหล่อสำเร็จ

5 ขนาดแผ่นปูทางเท้ายอดนิยม เลือกแบบไหนดีให้คุ้มที่สุด?

5 ขนาดแผ่นปูทางเท้ายอดนิยม เลือกแบบไหนดีให้คุ้มที่สุด?

หากคุณกำลังวางแผนปูพื้นหน้าบ้าน ทำทางเดินในสวน หรือแม้แต่ปูพื้นลานจอดรถ สิ่งแรก ๆ ที่ต้องคิดก็คือ “จะใช้แผ่นปูทางเท้าขนาดไหนดี?”
แผ่นปูทางเท้าคอนกรีตอาจดูเหมือนเรียบง่าย แต่ขนาดของแผ่นนั้นส่งผลต่อทั้งราคา ความแข็งแรง การจัดวาง และรูปลักษณ์โดยรวมอย่างไม่น่าเชื่อ

วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จัก 5 ขนาดแผ่นปูทางเท้ายอดนิยม ที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้ พร้อมเทคนิคเลือกขนาดให้ คุ้มค่าและเหมาะกับงานที่สุด ไม่ต้องเสียเงินเกินจำเป็น!

ทำไมขนาดของแผ่นปูทางเท้าถึงสำคัญ?

ก่อนจะไปดูแต่ละขนาด มาทำความเข้าใจเบื้องต้นกันก่อนว่า “ทำไมต้องเลือกขนาดให้ดี?” เพราะแผ่นปูทางเท้าแต่ละขนาดมีผลต่อ…

  • ✅ ต้นทุนต่อ ตร.ม. – ขนาดเล็กมักใช้แผ่นจำนวนมาก ต้นทุนแรงงานสูงกว่า

  • ✅ ความเร็วในการติดตั้ง – แผ่นใหญ่ปูเร็วกว่า แต่อาจหนักและวางยาก

  • ✅ ลวดลายและความสวยงาม – บางขนาดเหมาะกับลายแบบโมเดิร์น บางขนาดให้ฟีลธรรมชาติ

  • ✅ การใช้งาน – งานจอดรถต้องเลือกขนาดหนาและแข็งแรงกว่างานทางเดินในสวน

 

1. แผ่นปูทางเท้าขนาด 30×30 ซม.

ข้อดี:

  • ราคาต่อแผ่นถูกมาก เริ่มต้นเพียง 10–15 บาท

  • น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายง่าย เหมาะกับงาน DIY

  • เหมาะสำหรับทางเดินในสวน ทางเท้ารอบบ้าน

ข้อควรระวัง:

  • ต้องใช้เยอะต่อ 1 ตารางเมตร (ประมาณ 11 แผ่น/ตร.ม.)

  • ปูช้า และอาจไม่ทนหากต้องรับน้ำหนักมาก

เหมาะกับใคร? คนที่มีงบจำกัด อยากแต่งสวนเล็ก ๆ หรือทำเองที่บ้าน
ความคุ้มค่า: ★★★★☆

2. ขนาด 40×40 ซม.

ข้อดี:

  • เป็น ขนาดยอดนิยม ที่หาซื้อง่ายในท้องตลาด

  • ความหนามาตรฐาน รองรับน้ำหนักคนเดินได้สบาย

  • ดูเรียบร้อย ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป

ราคาโดยประมาณ:

  • 20–30 บาท/แผ่น (ใช้ประมาณ 6.25 แผ่น/ตร.ม.)

เหมาะกับใคร? คนที่ต้องการความเรียบง่าย ใช้ได้ทุกจุดของบ้าน
ความคุ้มค่า: ★★★★★

3. ขนาด 50×50 ซม.

ข้อดี:

  • ครอบคลุมพื้นที่ได้เร็วขึ้น ใช้เพียง 4 แผ่น/ตร.ม.

  • ประหยัดแรงงานและเวลาปูพื้น

  • หน้าตาดู “เต็มพื้นที่” เหมาะกับลานหน้าบ้านหรือลานซักล้าง

ราคาโดยประมาณ:

  • 35–45 บาท/แผ่น

ข้อควรระวัง:

  • หนักขึ้นมาก ต้องการคนยกที่มีแรงพอสมควร

  • ถ้าฐานไม่แน่น มีโอกาสแตกร้าวได้ง่าย

เหมาะกับใคร? เจ้าของบ้านที่อยากปูพื้นที่เยอะโดยเร็ว หรือจ้างช่าง
ความคุ้มค่า: ★★★★☆

4. ขนาด 60×60 ซม.

ข้อดี:

  • ดูเรียบหรูแบบ modern minimal

  • แผ่นใหญ่ จัดวางให้ดูโล่งโปร่ง

  • เหมาะกับงานเชิงพาณิชย์ เช่น โรงแรม โฮมออฟฟิศ

ราคาโดยประมาณ:

  • 55–70 บาท/แผ่น (ใช้ประมาณ 2.8 แผ่น/ตร.ม.)

ข้อควรระวัง:

  • หนักมาก ต้องใช้คนชำนาญติดตั้ง

  • หากแตกเสียหาย ซ่อมเฉพาะจุดยาก

เหมาะกับใคร? ผู้รับเหมาหรือเจ้าของโครงการที่ต้องการความหรู
ความคุ้มค่า: ★★★☆☆

5. แผ่นขนาดพิเศษ (เช่น 20×40 / 25×25 ซม.)

จุดเด่น:

  • ใช้ทำลวดลายเฉพาะ เช่น ลายก้างปลา ลายขั้นบันได

  • เหมาะกับงานดีไซน์ เช่น สวนแนวญี่ปุ่น หรือจัดมุมพักผ่อน

ราคาโดยประมาณ:

  • 15–25 บาท/แผ่น แล้วแต่ลายและความหนา

เหมาะกับใคร? สายแต่งสวนที่ชอบเล่นลวดลาย
ความคุ้มค่า: ★★★★☆

แล้วควรเลือกขนาดไหนดี?

ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก:

  1. 🧱 พื้นที่ใช้งาน – ถ้าพื้นที่กว้าง ใช้แผ่นใหญ่จะประหยัดแรงกว่า

  2. 💸 งบประมาณ – แผ่นเล็กอาจถูกต่อแผ่น แต่รวมค่าแรงแล้วอาจไม่คุ้ม

  3. 🪴 ลุคที่ต้องการ – อยากได้ลุคโมเดิร์นหรือธรรมชาติ ก็มีผลต่อการเลือกขนาดเช่นกัน

หากยังไม่มีไอเดียว่าควรจัดพื้นที่ยังไง ลองเข้าไปดูบทความ หาไอเดียตกแต่งสวนและบ้าน ลองมารู้จักกับแผ่นปูทางเท้า อาจช่วยให้คุณเห็นภาพชัดขึ้นว่าจะวางแผ่นทางเท้ายังไงให้คุ้มและสวยในงบที่มี

ทิ้งท้าย อย่าเพิ่งรีบซื้อ ถ้ายังไม่รู้จุดประสงค์ของพื้นที่

การเลือกแผ่นปูทางเท้าให้คุ้มค่า ไม่ใช่แค่ดูว่าราคาถูกที่สุด แต่ต้องมองรวมไปถึง การใช้งานจริง อายุการใช้งาน และรูปลักษณ์โดยรวม
ถ้าคุณยังลังเลว่าจะจัดมุมสวนยังไงดี หรือเลือกแบบไหนดีให้เข้ากับสไตล์บ้าน ลองเข้าไปดูเพิ่มเติมในหมวด ไอเดียแต่งบ้าน เพื่อหาแรงบันดาลใจเพิ่มเติมได้เลยค่ะ 🌿

หากคุณชอบบทความนี้ ฝากกดแชร์ให้เพื่อนที่กำลังจะปูพื้นบ้านหรือทำสวนด้วยนะคะ หรือหากมีคำถามเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ เช่น บล็อกปูพื้น, คอนกรีตสำเร็จ, รั้วแบบประหยัด ก็คอมเมนต์ไว้ด้านล่างได้เลย!

ใช้แผ่นพื้นต่อเติมครัวหลังบ้านภายใน 1 วัน! แชร์ประสบการณ์จริง

ใช้แผ่นพื้นต่อเติมครัวหลังบ้านภายใน 1 วัน! แชร์ประสบการณ์จริง

เมื่อเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่…แต่ครัวเล็กไม่พอจะวางหม้อ! ถึงเวลาลงมือแก้ปัญหา ด้วยแผ่นพื้นสำเร็จรูปแบบจบงานไว ติดตั้งง่าย และงบไม่บานปลาย

หลายคนคงเจอปัญหาคลาสสิกหลังซื้อบ้านใหม่ โดยเฉพาะบ้านจัดสรรหรือทาวน์โฮม ที่มักจะเว้นพื้นที่หลังบ้านไว้โล่ง ๆ ให้ต่อเติมกันเอง ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นการต่อเติม “ครัวไทย” ที่ไว้ผัดกระเพรา ต้มน้ำพริกแบบไม่ต้องกลัวควันหรือกลิ่นกระจายเข้าบ้าน

ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ เจ้าของบ้านมือใหม่ อยากมีครัวไว้ให้แม่มาทำกับข้าวเยี่ยมหลานได้สะดวก ๆ เลยเริ่มหาข้อมูล และสุดท้ายมาจบที่ตัวเลือกที่เรียบง่ายแต่โคตรเวิร์ค — แผ่นพื้นสำเร็จรูป บอกเลยว่า ต่อเติมครัวเสร็จภายใน 1 วันจริง ๆ!

วันนี้เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์เผื่อใครกำลังตัดสินใจอยู่ จะได้เห็นภาพแบบครบ ๆ ทั้งงบ วัสดุ เวลา และข้อควรรู้แบบบ้าน ๆ (แต่บ้านเสร็จไวแน่นอน!)

ทำไมถึงเลือกใช้ “แผ่นพื้นสำเร็จรูป”?

ก่อนจะเริ่ม ผมเองก็มึนอยู่นานว่า “พื้นหล่อในที่” กับ “แผ่นพื้นสำเร็จรูป” ต่างกันยังไง พอได้คุยกับช่างถึงรู้ว่า…

  • หล่อในที่ คือการทำแบบไม้ เทปูน เทเหล็ก แล้วรอให้แห้ง ซึ่งกินเวลาหลายวัน บางทีเจอฝนคือเลื่อนงานยาว ๆ

  • แผ่นพื้นสำเร็จรูป คือแผ่นคอนกรีตที่หล่อสำเร็จมาจากโรงงาน วางเสร็จเสริมเหล็ก เทปูนโปะหน้า เสร็จจบในวันเดียว!

ความเจ๋งคือ มันเหมาะกับงานต่อเติมที่ไม่ใหญ่มาก เช่น ครัวหลังบ้าน ลานซักล้าง หรือห้องเก็บของ เพราะไม่ต้องปิดทางเข้าออกบ้าน ไม่ต้องรื้อฟ้าเทปูนเป็นอาทิตย์ แถมราคาคุมง่ายด้วย

วางแผนยังไงให้ “ต่อเติมครัว” เสร็จภายใน 1 วัน?

1. วัดพื้นที่ก่อน

ของผมวัดได้ประมาณ 2.5 x 3 เมตร เป็นหลังบ้านที่เคยเทพื้นไว้หยาบ ๆ แต่ไม่ได้ทำอะไรต่อ

2. เตรียมโครงสร้างรองรับ

แผ่นพื้นสำเร็จรูปจะต้องวางพาดบน คานคอนกรีตหรือเสารองรับ อย่างน้อย 2 ด้าน ซึ่งของผมเลือกใช้เสาไอสำเร็จรูปฝังดินลึกพอประมาณ แล้วเทคานคอนกรีตวางรอบไว้ก่อนหน้า (ขั้นตอนนี้ช่างเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้าวันเดียวครับ)

3. สั่งแผ่นพื้นล่วงหน้า

เลือกใช้ แผ่นพื้นท้องเรียบ ขนาดยาวพอดีกับด้านลึก 2.5 เมตร จำนวนประมาณ 10 แผ่น ความหนามาตรฐาน 5 ซม. (เพียงพอกับน้ำหนักของครัว)

4. เตรียมปูนเทพื้น + เหล็กเสริม

หลังจากวางแผ่นพื้นแล้ว จะมีการเสริมเหล็กตะแกรง (wire mesh) และเทปูนปรับระดับด้านบนอีกครั้ง หนา 5 ซม. เพื่อความแข็งแรงและสวยงาม

วันจริง! ลุยต่อเติมครัวภายใน 1 วัน

เช้า 8 โมง ช่างเริ่มเข้ามาเตรียมงาน เปิดหน้าดินที่เทไว้เดิมนิดหน่อย แล้วก็เริ่มขนแผ่นพื้นมาวางพาดคานเลย ใช้เครนเล็กช่วยยก ไม่ถึงชั่วโมงก็วางเรียงเสร็จหมด

ต่อจากนั้นก็จัดเหล็กไวร์เมช เทปูนปรับระดับแบบรวดเร็ว ทันก่อนบ่ายสาม! เย็น ๆ ก็เดินเหยียบได้เลย (แค่ยังไม่แนะนำให้วางของหนัก) ทิ้งไว้สัก 2 วันก็สามารถเริ่มติดตั้งเคาน์เตอร์ ซิงก์ หรือวางเตาแก๊สได้แล้วครับ

สรุปงบประมาณคร่าว ๆ

รายการ ราคาโดยประมาณ
แผ่นพื้นสำเร็จรูป (10 แผ่น) 2,000 – 2,500 บาท
เหล็กไวร์เมช + ปูนเท 1,500 บาท
เสาไอ + คานคอนกรีต (วัสดุ+ค่าแรง) 3,000 บาท
ค่าแรงติดตั้ง 2,000 บาท
รวมทั้งสิ้น ประมาณ 8,500 – 9,500 บาท

หมายเหตุ: ราคานี้ขึ้นกับพื้นที่จริงและราคาตามเขตที่อยู่ด้วยนะครับ

ข้อดี-ข้อเสียหลังใช้จริง

✅ ข้อดี

  • รวดเร็วทันใจ: ทั้งหมดเสร็จใน 1 วัน ไม่ต้องรอพื้นแห้งนาน

  • คุมงบได้ดี: ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง หรือเลทบานปลาย

  • แข็งแรงพอสมควร: ใช้งานทำครัว ทำอาหาร วางตู้เย็นได้สบาย

  • ช่างหาง่าย: ไม่ต้องเป็นทีมเทพื้นใหญ่ ใช้ช่างทั่วไปก็ทำได้

❌ ข้อสังเกต

  • ความเรียบของพื้นขึ้นกับฝีมือช่าง: หากไม่ปรับปูนให้เรียบ จะต้องขัดพื้นภายหลัง

  • รองรับน้ำหนักจำกัด: ถ้าคิดจะวางแท้งค์น้ำขนาดใหญ่ ควรใช้แบบเสริมโครงสร้างเพิ่ม

  • ต้องเตรียมคาน-เสารองรับ: ถ้าไม่มีโครงสร้างไว้ก่อน ต้องเผื่อเวลาเพิ่มเล็กน้อย

 

 

เหมาะกับใคร?

  • เจ้าของบ้านจัดสรรที่อยากต่อเติมครัวไทยง่าย ๆ

  • คนที่มีงบจำกัด แต่อยากได้งานไว ไม่ปวดหัว

  • คนวัยทำงานที่ไม่มีเวลาเฝ้าไซต์ก่อสร้าง

  • ใครก็ตามที่อยากลอง “ลงมือดูแลบ้านเอง” แบบเข้าใจง่าย

 

 

งานเล็ก แต่ผลลัพธ์ใหญ่มาก

ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าการต่อเติมบ้านต้องเป็นเรื่องใหญ่ ใช้เวลาหลายวัน หรือมีงบหลักหมื่นปลาย ๆ ขึ้นไป แต่การใช้แผ่นพื้นสำเร็จรูปนี่แหละครับที่ทำให้เปลี่ยนความคิด!

ครัวหลังบ้านที่เคยโล่ง ตอนนี้กลายเป็นพื้นที่ทำอาหารที่แม่ยิ้มทุกครั้งที่มา แถมยังไม่เสียเวลางาน ไม่เปลืองงบ และที่สำคัญคือ ได้เรียนรู้เรื่องบ้านไปพร้อม ๆ กันด้วย

ใครที่กำลังลังเล บอกเลยว่า “ถ้าแค่ครัวหลังบ้าน ลองใช้แผ่นพื้นสำเร็จรูปดูครับ” แล้วคุณจะเข้าใจว่าการสร้างบ้านให้น่าอยู่ ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเสมอไป 🙂